หนึ่งในหลายสิ่งแรก ๆ ที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร George Plassat ของคาร์ฟูร์ทำเมื่อเข้ามารับตำแหน่งในปี 2555 คือการเลิกธุรกิจในต่างประเทศ เช่นในโคลอมเบีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกรีซ
การทำเช่นนั้น Plassat หวังที่จะพลิกฟื้นบริษัท ที่ราคาหุ้นได้ตกต่ำลงไปมากกว่า 60% ในรอบศตวรรษนี้ ผู้บริหารของคาร์ฟูร์ได้ระบุว่าผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ของกลุ่มบางส่วนมาจากการขยายสาขาในต่างประเทศที่มากเกินไปในช่วงการบริหารงานของฝ่ายบริหารชุดก่อน
ยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกที่ได้แก่ คาร์ฟูร์ของฝรั่งเศส เทสโก้ของสหราชอาณาจักร และเมโทรของเยอรมนี ได้เรียนรู้ว่าสูตรความสำเร็จในประเทศบ้านเกิดของตนไม่จำเป็นว่าจะช่วยให้สามารถครองตลาดในต่างประเทศได้
ความทะเยอทะยานที่สูงเกินไปของธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ การขยายสาขาไปยังต่างภูมิภาคก็เป็นความทะเยอทะยานอีกรูปแบบหนึ่ง แต่มักจะดึงดูดบริษัทให้ขยายธุรกิจไปในเรื่องที่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญหลัก ๆ ของตน โดยหวังที่จะสร้างการเติบโตได้มากและได้ผลเร็ว บางครั้งบริษัทเติบโตขึ้นมากจนทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปไม่ได้
ธนาคารในสหรัฐอเมริกาขยายธุรกิจใหญ่โตมากเกินไปจนทำให้บริหารจัดการได้ยาก หลังจากที่ในปี 2542 อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ของสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกกฎหมายที่กำหนดให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ออกจากธุรกิจวาณิชธนกิจที่ตราขึ้นตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษ 1930
คู่แข่งในประเทศอื่นๆก็ได้ทำเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ และในไม่ช้าก็ได้กลายเป็นกระแสทางเลือกที่มีการทำกันมากในบรรดาธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินสดมากและมีความทะเยอทะยานสูง โดยการตั้งแผนกวาณิชธนกิจขึ้นมาตั้งแต่การปล่อยกู้ง่าย ๆ ให้แก่ผู้บริโภค ไปจนถึงการซื้อขายแบบเก็งกำไรที่ไม่มีใครเข้าใจ ได้วางรากฐานให้เกิดเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดก็ได้นำพาไปสู่วิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นในปี 2551โลกได้เรียนรู้ว่าอะไรที่ใหญ่จนควบคุมไม่ได้ย่อมหมายถึงอะไรที่ใหญ่จนปล่อยให้ล้มลงไม่ได้ ส่งผลให้หลายประเทศเกือบจะต้องล้มละลายไปเองจากความพยายามที่จะกอบกู้สถาบันการเงินที่ล้มละลาย บทเรียนที่สำคัญคือบรรดาผู้บริหารของธนาคารต่างต้องเผชิญความเสี่ยงที่แวดล้อมธนาคารอย่างชัดเจน นั่นคือธุรกิจธนาคารของพวกเขาพัฒนาไปจนมีความซับซ้อนมากเกินไป
อีกรูปแบบหนึ่งของความทะเยอทะยานที่มากเกินไป คือ การกระจายการทำธุรกิจออกไปมากเกินไป ลักษณะของวิกฤตการเงินในเอเชียที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2540 – 2541 ดังกล่าว คือการที่บริษัทจำนวนหนึ่งที่กลายเป็นกลุ่มบริษัทขนาดย่อม มักจะทำการซื้อทรัพย์สินที่ไม่สร้างผลกำไรด้วยเงินกู้ เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือสนามกอล์ฟ เราขอเรียกกระบวนการนี้ว่าการสลายการทำธุรกิจ
ในหลายกรณีที่คล้ายกันนี้ มีบริษัทที่ได้กลายเป็นเพียงเครื่องมือของประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่มากด้วยความทะเยอทะยานเพื่อทำตามความปรารถนาชื่อเสียงส่วนตัว ในช่วงวันท้าย ๆ ขณะที่ฮ่องกงยังเป็นหนึ่งในอาณานิคมของสหราชอาณาจักร การเปิดธุรกิจวาณิชธนกิจในฮ่องกงที่เป็นที่กล่าวถึงกันมากที่สุดไม่ใช่ Goldman Sachs หรือ Morgan Stanley แต่กลับเป็น Peregrine Investments Holdings
นับตั้งแต่ปี 2531 ถึงปี 2540 Peregrine เป็นธุรกิจจัดจำหน่ายและประกันการออกหุ้นใหม่ให้แก่บริษัทต่างๆที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง และเป็นผู้บุกเบิกตลาดซื้อขายตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำของเอเชีย ผู้ก่อตั้ง Peregrine คือ Philip Tose ซึ่งเป็นอดีตนักแข่งรถความเร็วสูงที่เต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งได้ผลักดันวัฒนธรรมการทำธุรกิจแบบหวือหวาและเสี่ยงสูง ที่เขาได้บัญญัติศัพท์ขึ้นเองว่า buccaneering culture ที่นิยมการทำธุรกิจแบบกล้าเสี่ยง โดยมักจะอาศัยความบกพร่องในการตรวจสอบของฝ่ายบริหารที่ควรจะรอบคอบ
บริษัทถูกบังคับให้ต้องล้มละลายลงในเดือนมกราคม 2541 หลังจากที่ได้ปล่อยเงินกู้ก้อนเดียวให้แก่นักธุรกิจรายหนึ่งของอินโดนีเซียและกลายเป็นหนี้เสีย บริษัทได้ปล่อยกู้หนึ่งในสามของเงินทุนของบริษัทให้แก่ลูกค้ารายนี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการจำหน่ายและประกันการออกหุ้นกู้ของลูกค้า แต่ความผันผวนของค่าเงินท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับวิกฤตการเงินในเอเชียได้ทำลายโอกาสที่จะได้รับชำระคืนเงินกู้รายนี้
ที่น่าประทับใจ แม้ว่าธรรมาภิบาลของธุรกิจจะดีขึ้นแล้วอย่างมีนัยสำคัญทั่วภูมิภาค แต่บริษัทที่มีความเชื่อมั่นสูงเกินไปอย่างชัดเจนจะทำการดึงดูดเงินทองจากภายนอกให้เข้ามาได้ตลอดเวลา บริษัทของจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกิจการอสังหาริมทรัพย์และได้จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง กลับคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปบริหารกิจการสโมสรฟุตบอลอาชีพ รวมถึงทำธุรกิจผลิตนมผงสำหรับเด็กทารกไปด้วย ในชั่วเวลาน้อยกว่าสี่เดือนเท่านั้น หุ้นของบริษัทนี้ที่อยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกงก็ได้ตกต่ำลงมามากกว่า 45%* จากระดับที่เคยสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม กรณีนี้จึงน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจที่เจ็บปวดได้ว่ากิจกรรมการเก็งกำไรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภายในห้องประชุมคณะกรรมการของบริษัทเท่านั้น
ความทะเยอทะยานของบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริง นักลงทุนน่าจะมองหาบริษัทที่มีแผนการเพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจที่ชาญฉลาดมากกว่า แต่ปัญหาคือบรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทสามารถถูกปิดบังสายตา ด้วยความเชื่อมั่นในตนเองที่มีมากเกินไปและการถูกยุยงจากคณะกรรมการของบริษัทที่อ่อนแอ พวกเขามักจะประเมินต้นทุนของการควบรวมธุรกิจหรือการเข้าซื้อกิจการที่ต่ำเกินไป ซึ่งนับว่ามีความสัมพันธ์กันกับราคาหุ้นที่ขึ้นสูงหรือเมื่อการก่อหนี้มีราคาถูก
ฝ่ายบริหารของบริษัทที่มองไม่เห็นความจริงว่าความสำเร็จชั่วข้ามคืนควรจะได้รับการพิจารณาด้วยความสงสัยไว้ให้มาก การเติบโตของธุรกิจที่ก้าวกระโดดอาจจะเป็นสิ่งล่อใจสำหรับนักลงทุน แต่มักจะมาพร้อมกับราคาที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ในความเห็นของอเบอร์ดีนบริษัทที่ดี คือ บริษัทที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% มาเป็น 15% ในหนึ่งปี และการเติบโตระดับนี้จะถูกสะท้อนให้เห็นได้อย่างถูกต้องจากราคาหุ้นของบริษัท
* ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2558
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.aberdeen-asset.co.th/10goldenrulesthai
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ครั้งแรกในโลกดิวตี้ฟรี - King Power จับมือ Avolta ผนึกกำลังปลดล็อกสิทธิประโยชน์สมาชิกแบบไร้พรมแดน
มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ปล่อยแคมเปญ "สินค้าครึ่งราคา ลด 50%" ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ ตอบรับกระแสนโยบาย 'คนละครึ่งพลัส'
สายคอนเสิร์ตห้ามพลาด! OPPO Find X9 Series รุ่นใหม่ล่าสุด สมาร์ตโฟนซูมดีทุกคอนเสิร์ต สัมผัสประสบการณ์ซูมเหนือระดับ พร้อมจับมือ AIS มอบโปรสุดคุ้ม ราคาเริ่มต้นเพียง 23,099 บาท
OPPO เปิดตัว OPPO Find X9 Series สมาร์ตโฟนซูมดีทุกคอนเสิร์ต มอบประสบการณ์ซูมเหนือระดับ พร้อมโปรโมชันพิเศษจากทรู! ในราคาสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียง 23,099 บาท
เปิดมุมมอง "อนิวรรต ศรีรุ่งธรรม" ผู้บริหารรุ่นใหม่ พลิกโฉมธุรกิจทองคำไทยด้วยเทคโนโลยี
'มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)' เคาะราคาหุ้นละ 8.60 บาท ระดมทุน 5.6 พันล้านบาท
MOTHER ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านโครงการ "รวมพลังห้างท้องถิ่น ลดยิ่งใหญ่ ไทยช่วยไทย"
จิฟฟี่ ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เปิดจุดฝากส่งด่วน EMS 24 ชั่วโมง ใน PTT Station เพิ่มทางเลือกใหม่ สะดวกทุกเวลา ส่งด่วนทั่วไทย
'MR. D.I.Y.' ตอกย้ำพันธกิจสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนระยะยาว กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่พร้อมใจล็อกอัพหุ้นทั้งหมด เกินกว่าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด