ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ นับเป็นตัวอย่างในการบริหารจัดการ ถึงแม้ว่าประเทศสิงคโปร์อาจจะไม่มีศิลปินที่ดังๆ มากนัก แต่ก็สามารถนำผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงของอาเซียนมาจัดแสดงผสมผสานได้อย่างลงตัว เพื่อให้เป็นศูนย์กลางด้านศิลปะของอาเซียน รวมทั้งเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาชมเป็นจำนวนมา ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม จะนำแนวทางการบริหารหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์มาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับหอศิลป์ร่วมสมัยของไทย ทั้งในเรื่องของการตลาด การหาทุน องค์ความรู้ การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน รวมทั้งการดึงภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างหอศิลป์ร่วมสมัยของไทยปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ยังเหลือในส่วนของการตกแต่งภายใน การเก็บงานระบบไฟ ระบบเครื่องปรับอากาศ คาดว่าจะเปิดได้ในปี 2560 ซึ่งขณะนี้กำลังหารือว่าจะเป็นระบบราชการ หรืออาจจะเป็นระบบแบบกึ่งราชการโดยดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วยเหมือนกับหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ เพราะจะทำให้การบริหารจัดการมีความลื่นไหลมากขึ้น



