กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 17 จังหวัด พร้อมประสานจังหวัดสำรวจปริมาณน้ำต้นทุน ประเมินและจัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อกำหนดโซนนิ่งการช่วยเหลือได้อย่างชัดเจน วางแผนจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และมาตรการรองรับกรณีแหล่งน้ำดิบขาดแคลน รวมถึงใช้กลไก"ประชารัฐ" ในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในการควบคุมกิจกรรมการใช้น้ำตลอดจนรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำให้เหมาะสม โดยวางแผนการใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งหลายพื้นที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมากขึ้น โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 17 จังหวัด 67 อำเภอ 305 ตำบล 2,576 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 3.44 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ แยกเป็น ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พะเยา สุโขทัย นครสวรรค์ และน่าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครพนม มหาสารคาม บุรีรัมย์ และสุรินทร์ภาคกลาง 3 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี และชัยนาท ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และชลบุรี รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานจังหวัดและหน่วยงานทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยดำเนินการสำรวจปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ พร้อมประเมินและจัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อกำหนดโซนนิ่งการช่วยเหลือได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพปัญหา วางแผนจัดหาแหล่งน้ำสำรอง พัฒนาแหล่งน้ำ ทั้งน้ำบาดาล สระน้ำชุมชน ฝายประชารัฐ พร้อมกำหนดมาตรการรองรับกรณีแหล่งน้ำดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปาเพื่ออุปโภคบริโภค จัดหาเครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำให้บริการเติมน้ำใส่ถังน้ำกลางประจำหมู่บ้านในพื้นที่ประสบภัยแล้ง นอกจากนี้ ให้จังหวัดใช้กลไก"ประชารัฐ" ในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ ความจำเป็นในการควบคุมกิจกรรมการใช้น้ำของภาครัฐ พร้อมบูรณาการฝ่ายพลเรือนและหน่วยทหารเฝ้าระวังบริเวณจุดเสี่ยงที่มักมีการลักลอบสูบน้ำและเกิดปัญหาแย่งน้ำ พร้อมจัดทำประชาคมกำหนดกติกาการใช้น้ำไว้ล่วงหน้า เพื่อจัดสรรการใช้น้ำอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม กรณีมีการลักลอบสูบน้ำ กั้นน้ำ และปัญหาแย่งน้ำของประชาชนในพื้นที่ ให้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ โดยวางแผนการใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเฉพาะเกษตรกรให้ปรับวิถีทำการเกษตรให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งจะทำให้มีน้ำอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง
0-2243-0674 0-2243-2200 www.disaster.go.th
สกสว. เผยโรดแมพวิจัย พร้อมลุยภัยแล้ง’63
SME D Bank ออกมาตรการด่วนช่วยเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบพายุ "บัวลอย" 'พักชำระหนี้-เติมทุนฉุกเฉิน' ลดภาระทางการเงิน ฟื้นฟูธุรกิจกลับมาเดินหน้าเร็ววัน
NT หนุนพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยแห่งชาติ "T-Alert" ยกระดับความปลอดภัยประชาชนทั่วประเทศ
เฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง และระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา
SAM ห่วงใยลูกหนี้ ออกมาตรการเร่งด่วนครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งผู้ประสบสาธารณภัยพายุ "วิภา" พักเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 3 เดือน ส่วนผู้เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล จัดดอกเบี้ยต่ำ 3-5% ผ่อนยาว 10 ปี เพื่อส่งมอบโอกาสเพื่อคนไทยเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จับมือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงนามบันทึกความเข้าใจ ยกระดับ MOU ร่วมให้ความรู้