การประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบดังกล่าวสะท้อนถึงความเห็นของฟิทช์ว่า การประกาศเข้าซื้อกิจการโรงปูนซีเมนต์ในประเทศศรีลังกาของ SCCC ในมูลค่าประมาณ 373.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,090 ล้านบาท) น่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ SCCC โดยทำให้อัตราส่วนดังกล่าวอาจจะสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันของบริษัทฯ ที่ 'A(tha)' ทั้งนี้ ฟิทช์จะพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทฯ และยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เมื่อรายการดังกล่าวเสร็จสิ้นสมบูรณ์และฟิทช์ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว
ฟิทช์มองว่าอัตราส่วนหนี้สินของ SCCC ภายหลังการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อาจเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 3.0 เท่าหรือมากกว่า ในขณะเดียวกันระยะเวลาที่บริษัทฯ จะต้องใช้ในการลดอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวลงจนถึงระดับที่ต่ำกว่า 2.25 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบัน จะขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ หลังจากการเข้าซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในทางลบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทฯ อาจจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากสถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นจากการที่ธุรกิจมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการกระจายตัวของแหล่งรายได้ที่ดีขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การเข้าซื้อกิจการกระทบสถานะทางการเงิน– โครงสร้างของแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการเข้าซื้อ HLL เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทฯ ในระหว่างที่รอการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ฟิทช์เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้น่าจะส่งผลให้อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ SCCC อ่อนแอลง โดย FFO adjusted net leverage อาจจะปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 3.0 เท่า ในปี 2559 และคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 2.25 เท่าในปีต่อๆ ไป ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับที่ฟิทช์พิจารณาว่าสอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบัน ของ SCCC ที่ 'A(tha)' ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวที่มาจากการกู้ยืม รวมถึงแผนการลดอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของบริษัทฯ ในอนาคต
ก่อนที่จะมีการประกาศการเข้าซื้อ HLL เดิมฟิทช์คาดว่าความยืดหยุ่นทางการเงินของ SCCC ในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันจะลดน้อยลง จากการที่บริษัทฯ มีแผนการใช้เงินลงทุนที่สูงเพื่อขยายกำลังการผลิต และขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่คาดว่าจะมาจากการกู้ยืมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งวัดโดย FFO adjusted net leverage จะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.5-2.0 เท่าในปี 2559-2560 (อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวอยู่ที่ 1.3 เท่า ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2559 และจาก 0.9 เท่า ณ สิ้นปี 2558) และลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.5 เท่า จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น
การมีตลาดหลักเพียงตลาดเดียว – ฟิทช์ยังคงมองว่าอันดับเครดิตของบริษัทฯ น่าจะยังคงถูกจำกัดจากการที่บริษัทฯ มีการกระจายตัวของแหล่งรายได้ที่จำกัด แม้ว่าจะมีการซื้อกิจการ HLL ก็ตาม แต่ระดับของความกระจุกตัวอาจจะลดลง โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ HLL คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 10 ของ EBITDA ของ SCCC ในปี 2558 ในขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ของ SCCC มาจากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกันภายในประเทศไทยเป็นหลัก สัดส่วนรายได้จาก HLL ในประเทศศรีลังกาไม่น่าจะช่วยเพิ่มการกระจายตัวของแหล่งรายได้ให้ SCCC ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง – SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับร้อยละ 27 โดยวัดจากยอดขาย ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ โดยอาศัยชื่อเสียงของตราสินค้าประเภทปูนซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จที่เป็นที่รู้จักมาเป็นเวลานานของบริษัทฯ แม้ว่าคู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศจะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนกำไรที่ค่อนข้างสูงของบริษัทฯ น่าจะมีส่วนช่วยให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้าเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรง
การแข่งขันที่สูงส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนกำไร – ฟิทช์คาดว่าการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศจะรุนแรงขึ้นในปี 2559 จากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาในตลาด อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin)ของ SCCC น่าจะลดลงเนื่องจากการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด โดยฟิทช์คาดว่า EBITDA margin ของบริษัทฯ จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 21-22 ในปี 2559 จากระดับร้อยละ 23-24 ในปี 2556-2558 ซึ่งน่าจะเป็นการปรับลดลงชั่วคราวจนกว่าอุปสงค์ในประเทศจะเติบโตขึ้นและรองรับอุปทานที่เพิ่มขึ้นได้ในปี 2560
ผลการดำเนินงานมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน – อัตราส่วนกำไรของบริษัทฯ มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิง และไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ราคาถ่านหินได้ปรับตัวลดลงเกือบร้อยละ 20 จากปีก่อน ฟิทช์คาดว่าราคาถ่านหินจะปรับตัวลดลงอีกในปี 2559 เนื่องจากกำลังการผลิตส่วนเกินยังคงกดดันระดับราคาอยู่ โดยในช่วงสามถึงสี่ปีข้างหน้าราคาถ่านหินน่าจะทยอยปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นแต่ระดับราคาขายโดยเฉลี่ยลดลงในปี 2559
- มีการรวมการเข้าซื้อกิจการ HLL
- สัดส่วนรายได้จากการส่งออกยังคงอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 20-25 ในปี2559 และลดลงในปี 2560 จากปริมาณการขายภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
- EBITDA margin ลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 21-22 ในปี 2559 และปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับร้อยละ 22-23 ในปี 2560
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ประมาณร้อยละ 70-80
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ฟิทช์จะพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทฯ และยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เมื่อฟิทช์ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว และทราบนโยบายการบริหารเงินทุนของ SCCC ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ
ปัจจัยลบ:
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) สูงกว่า 2.25เท่าอย่างต่อเนื่อง
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยบวก: ปัจจัยที่อาจมีผลทำให้ฟิทช์พิจารณายกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ และคงแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสภียรภาพ
- การยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ HLL
- การเข้าซื้อกิจการ HLL ไม่มีผลกระทบทางลบต่อสถานะทางการเงินของ SCCC อย่างมีนัยสำคัญ
กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง LBM ในเครือปูนอินทรีเปิดวิสัยทัศน์ "Innovating Sustainable Building Solutions" ขับเคลื่อนแนวทางวัสดุก่อสร้าง ตอบโจทย์เทรนด์ก่อสร้างยุคใหม่สู่ความยั่งยืน
บริษัท คอนวูด จำกัด ภูมิใจคว้ารางวัล "อุตสาหกรรมสีเขียว" ระดับที่ 4 ปี 2568 จากกระทรวงอุตสาหกรรม
KKP ลงนามความร่วมมือกับ ปูนอินทรี และ เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ หนุนอสังหาฯ ไทย ลดการปล่อยคาร์บอน ปรับตัวสู่ความยั่งยืน
INSEE LBM เปิดตัวนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต ตอกย้ำแนวคิดความยั่งยืนในงาน "สถาปนิก'68"
พฤกษา ผนึก ปูนซีเมนต์นครหลวง ปลดล็อกนวัตกรรมก่อสร้างสีเขียว ตอบโจทย์บ้านคุณภาพยุคใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ความร่วมมือครั้งสำคัญ ปูนซีเมนต์นครหลวง ร่วมกับ เอสวีแอล กรุ๊ป ปิดดีลใหญ่ ขนส่งปูนซีเมนต์สู่ภาคใต้
ปูนซีเมนต์นครหลวง จับมือ เอสวีแอล กรุ๊ป ปิดดีลใหญ่ เสริมแกร่งโลจิสติกส์ ขนส่งปูนซีเมนต์สู่ภาคใต้
บี.กริม เพาเวอร์ ลงนาม MOU ปูนซีเมนต์นครหลวง ร่วมพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยพลังงานสะอาด
บมจ ปูนซีเมนต์นครหลวง ได้รับการรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ตอกย้ำบริษัทธรรมาภิบาลต้านทุจริตคอร์รัปชัน