บีโอไอเผยผลศึกษา 5 ประเทศตลาดใหม่ แนะทิศทางลงทุนมุ่งสร้างฐานผลิตในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

           บีโอไอนำเสนอผลการศึกษาเชิงลึกกลุ่มประเทศตลาดใหม่ พบศรีลังกามีสิทธิตามกรอบเอฟทีเอ เป็นประตูสู่ตลาดเอเชียใต้ ด้านการลงทุนในยูกันดาและมองโกเลียเน้นกลุ่มเครื่องหนัง – โรงไฟฟ้า- เครื่องประดับ แนะนักลงทุนไทยมองโอกาสกลุ่มตลาดใหม่ที่เศรษฐกิจเติบโตเร็ว
          นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)เปิดเผยถึงผลการศึกษา "โอกาสการลงทุนไทยในตลาดใหม่ : ศรีลังกา ยูกันดา โมซัมบิก อุซเบกิสถานและมองโกเลีย" ว่า บีโอไอให้ความสำคัญกับการศึกษาศักยภาพ และโอกาสของการลงทุนในต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มประเทศตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียกลาง เป็นกลุ่มประเทศหลักที่บีโอไอเล็งเห็นความสำคัญจากความน่าสนใจเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ พลังงานและแรงงานที่จะสร้างความได้เปรียบ ในการผลิตสินค้าและสร้างฐานการผลิตใหม่ให้นักลงทุนไทย          
          สำหรับผลการศึกษาที่บีโอไอนำมาเผยแพร่ครั้งนี้ เป็นข้อมูลเชิงลึกที่บีโอไอร่วมมือกับสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังลงพื้นที่จริงสำรวจกลุ่มประเทศตลาดใหม่ ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงโอกาสตลอดจนระเบียบวิธีปฏิบัติ สภาวะทางธุรกิจ สังคม และการเมือง ที่สำคัญยังได้นำเสนอปัญหาและอุปสรรคจากนักลงทุนไทยที่ได้เข้าไปลงทุนจนประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ช่วยให้นักลงทุนทราบข้อมูลสำคัญ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนออกไปลงทุนจริง
          "วันนี้นักลงทุนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องแรงงานและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ก็เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลก บีโอไอจึงเห็นศักยภาพในกลุ่มประเทศตลาดใหม่นี้ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่เติบโตเร็ว มีความน่าสนใจให้เข้าไปลงทุน เชื่อว่าข้อมูลที่นำมาเผยแพร่จะสร้างโอกาสในการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนไทยก็ต้องปรับตัวเพื่อมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มตลาดใหม่ นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดเดิม" นายโชคดีกล่าว
          สำหรับศรีลังกา ในช่วงระหว่างปี 2003 ถึง 2015 ได้มีบริษัทไทยหลายบริษัทเข้าไปลงทุนในประเทศศรีลังกา โดยส่วนใหญ่จะเป็น ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึง อาหารแปรรูป จากการศึกษาพบว่า อุตสาหกรรมที่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยจะมีสาขายางสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้า อาหารแปรรูป การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์ เป็นต้น ที่สำคัญศรีลังกามีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)กับอินเดียและปากีสถาน รวมทั้งได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ( จีเอสพี ) จากสหภาพยุโรปและอเมริกา นักลงทุนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ และ จีเอสพี เหล่านี้ในการเข้าถึงตลาดได้สะดวกขึ้น 
          ยูกันดา ในช่วงระหว่างปี 2003 ถึง 2015 บริษัทไทยที่เข้าไปสร้างโรงงานเป็นบริษัทผลิตเครื่องสำอาง และจำหน่ายสินค้าปลีก ที่ตั้งของประเทศเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการกระจายสินค้าของทวีปแอฟริกา โอกาสที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุนคือ การลงทุนในสาขาเครื่องหนัง เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรมฟอกหนังไปถึงรองเท้า เข็มขัด กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์หนังสำหรับโรงแรม นอกจากนั้นยังมีโอกาสการลงทุนในกลุ่มอาหารสำเร็จรูป อาทิ ปลากระป๋อง ไส้กรอก น้ำมันปลาเป็นต้น ที่สำคัญยูกันดาเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศและอากาศสมบูรณ์ ทำให้ปลูกพืชบางชนิดได้ 2 ฤดู จึงเหมาะแก่การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรเชิงพาณิชย์ 
          มองโกเลีย บริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนแล้วจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากพื้นที่ของประเทศมองโกเลียอุดมไปด้วยแร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เช่น ทองแดง ถ่านหิน โมลิบดีนัม ดีบุก ทังสเตน และทองคำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมนอกจากนี้ความหลากหลายในภูมิประเทศและภูมิอากาศ ทำให้มองโกเลียมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนสาขาอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าไปลงทุน คือ การทำเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจด้านการศึกษา
โมซัมบิก เป็นประเทศที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมน้อย มีเขตชลประทานที่อุดมสมบูรณ์ ขณะเดียวกันยังมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ราคาถูก แต่ขาดการ แปรรูปสินค้า นักลงทุนไทยจึงมีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูป เช่น อาหารกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็ง
          อุซเบกิสถานเป็นประเทศที่มีทรัพยากรหลัก ได้แก่ ผลไม้ ฝ้าย และถั่วต่าง ๆ สินค้าส่งออกส่วนใหญ่จะส่งออกขั้นพื้นฐานโดยไม่มีการแปรรูป รัฐบาลของอุซเบกิสถาน จึงกำหนดนโยบายภาคอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้า โดยเฉพาะการแปรรูปให้เป็น ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำผลไม้ เป็นต้น
บีโอไอเผยผลศึกษา 5 ประเทศตลาดใหม่ แนะทิศทางลงทุนมุ่งสร้างฐานผลิตในอนาคต
 

ข่าวลงทุนในต่างประเทศ+เครื่องประดับวันนี้

GPSC ปลื้มกำไร 9 เดือนปี 68 โต 60% รับแรงหนุนจากประสิทธิภาพ การบริหารต้นทุน และปลดล็อคกำไรจากเงินลงทุนในอินเดีย

พร้อมรับโอกาสนโยบาย Direct PPA ผลิตไฟสะอาด ป้อน Data Center GPSC รายงานผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2568 มีกำไรสุทธิ 4,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน การจัดการทางการเงิน และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับโอกาสนโยบายรัฐผลักดันโครงสร้างพื้นฐานขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียนผ่านกลไก Direct PPA ดึงเงินทุน Data Center เข้าไทย นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)

บมจ. ไทย โคโคนัท หรือ COCOCO เดินหน้าขยาย... ไทย โคโคนัท (COCOCO) ลุยเดินงานฟิลิปปินส์ เยือน PEZA หารือสิทธิประโยชน์โรงงานใหม่ "NOVOCOCONUT" — บมจ. ไทย โคโคนัท หรือ COCOCO เดินหน้าขยายการลงทุนในต่างป...

บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอ... บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุน KF-SINCOME-USD ลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกด้วยสกุลเงิน USD — บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลสมาร์ทอินคัม USD (KF-SINCOME-U...

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (... บล.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัว DR06 By KKPS ขยายโอกาสลงทุนหุ้นโลกพร้อมบริหารสภาพคล่องต่อเนื่อง — บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เดินหน้าขยาย...

ผลสำรวจล่าสุดพบ แม้ความเชื่อมั่นว่าธุรกิจ... PwC เผยซีอีโอไทยมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มศก.ไทยและโลกลดลง เน้นดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวัง — ผลสำรวจล่าสุดพบ แม้ความเชื่อมั่นว่าธุรกิจของตนจะไปรอดในทศวรรษ...