ทั่วโลกผนึกกำลังปกป้องสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ที่การประชุมไซเตส

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          ณ ที่ประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) ครั้งที่ 17 ซึ่งมีประเทศสมาชิกเข้าร่วมมากว่า 180 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ที่จะนำไปสู่การช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับการต่อสู้กับขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกันกำหนดเป้าหมายและถ้อยแถลงเกี่ยวกับการซื้อขายสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า ที่มีถิ่นอาศัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง เช่น งาช้าง นอแรด ตัวนิ่มหรือตัวลิ่ม และเสือ
          ทั้งนี้ หนึ่งในข้อตกลงร่วมที่ทุกประเทศสมาชิกต่างเห็นพ้องตรงกัน คือการคงไว้ซึ่งกฎห้ามซื้อขายงาช้างและนอแรดระหว่างประเทศ และยังเพิ่มการคุ้มครองการค้าตัวนิ่มและนกแก้วแอฟริกันเกรย์ โดยประเทศเวียนนาม เป็นตลาดค้านอแรดที่ใหญ่ที่สุด ในแต่ละปีแรดแอฟริกาจำนวนมากต้องจบชีวิตลงเพื่อสังเวยความต้องการการบริโภคนอแรด ซึ่งในที่ประชุมได้มีมติกดดันให้ประเทศเวียดนามและประเทศโมซัมบิกหาหนทางหยุดยั้งการค้านอแรดอย่างผิดกฎหมายภายในเวลา 1 ปี มิฉะนั้นทางกลุ่มจะมีมาตราการลงโทษทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเรียกร้องให้ ประเทศซึ่งยังเปิดให้มีตลาดค้างาช้างอย่างถูกกฎหมายภายในประเทศ เช่น ประเทศไทย ดำเนินมาตรการทางกฎหมาย หรือวางกฎระเบียบกดดัน เพื่อปิดตลาดเหล่านั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด
          อีกข่าวที่น่ายินดี คือรัฐบาลลาวประกาศจะปิดฟาร์มเสือในประเทศ และเพื่อให้แน่ใจว่าเสือจำนวน 700 ตัวที่อยู่ในฟาร์มจะไม่ถูกส่งต่อไปยังตลาดค้าเสือในต่างประเทศ ทางการประเทศลาวจะนำเสือเหล่านี้ไปปล่อยกลับคืนสู่พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายด้านชีวิภาพแห่งชาติ (National Biodiversity Conservation Areas) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้จำนวนเสือในป่าของประเทศลาวกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
          นอกจากนี้ หัวข้อการประชุมยังครอบคลุมไปถึงการกำหนดกฎระเบียบเรื่องการค้าปลาฉลามซิลกี ปลากระเบนปีศาจ รวมไปถึงพืชในตระกูลโรสวู๊ดให้เคร่งครัดมากยิ่งขึ้น
นายเตียกเส็ง ผู้อำนวยการหน่วยอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำโขงของ WWF ให้สัมภาษณ์ว่า " เราได้เห็นความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายประเด็น เช่น การค้างาช้าง นอแรด และเสือ จากการที่รัฐบาลทั่วโลกผนึกกำลังร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ หลายประเด็นเป็นประเด็นที่ก้าวหน้ามากกว่าถ้อยแถลง โดยเฉพาะความจำเป็นในการปกป้องสัตว์ป่าที่ถูกคุกคาม อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยเสริมพลังในการดำเนินงานและวางมาตรการบังคับด้านกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่ากฎระเบียบด้านการซื้อขายสัตว์ป่าจะเกิดการบังคับใช้จริงมากกว่าเป็นแค่เสือกระดาษ"
          ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมยังให้การสนับสนุนกระบวนการทำงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ (National Ivory Action Plan: NIAP) ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงกับไซเตส โดยแผนปฎิบัติการนี้ จะช่วยทำให้เห็นช่องโหว่ของแต่ละประเทศในการควบคุมการค้างาช้าง รวมไปถึงช่วยยังยั้งการค้างาช้างที่จะเกิดขึ้น
          อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ หลายประเทศสมาชิกเริ่มหันมาใช้ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำประมงแบบยั่งยืน โดยไม่ทำร้ายปลาฉลามและปลากระเบน รวมไปถึงจำกัดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการทำฟาร์มเสือและการค้าสัตว์ป่าที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการนำสัตว์ป่ามาปลอมปนเพื่อการค้า
          คุณเทเรซ่า ฟรานซ์ หัวหน้าตัวแทนผู้เข้าร่วมประชุมจาก WWF กล่าวว่า "มีการพยายามต่อรองในที่ประชุม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลของการประชุมคือการที่ทุกประเทศเห็นชอบร่วมกันที่จะลงมือป้องกันการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ และช่วยกันตรวจสอบประเทศสมาชิกอื่นๆ ว่าได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ โดยต่อไปนี้ ทุกประเทศจะไม่มีข้ออ้างใดๆ เพราะมีเครื่องมือในการทำงานที่หลากหลายและมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น จึงถือเป็นความรับผิดชอบของทุกประเทศที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้"
          การประชุมครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่เปิดให้มีเวทีการสนทนาและยอมรับข้อสรุปในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเร่งด่วนที่เกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่า เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น หรือการลดจำนวนความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ป่า 
          "การประชุมไซเตสครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมที่สำคัญและทรงพลังมากที่สุด จนอาจพูดได้ว่าเป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จที่สุดนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการจัดประชุมมา" คุณฟรานซ์กล่าว "ทุกประเทศทั่วโลกควรหันมาพิจารณากันอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมในท้ายที่สุด"
 
 

ข่าวการค้าระหว่างประเทศ+ลักลอบค้าสัตว์ป่าวันนี้

"พาณิชย์" สุดปลื้ม "บางกอกเจมส์" ครั้งที่ 72 สำเร็จทะลุเป้า สร้างสถิติใหม่ ปลุกเงินสะพัดราว 4,700 ล้านบาท

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยผลการจัดงาน "Bangkok Gems and Jewelry Fair" หรือ "บางกอกเจมส์" ครั้งที่ 72 ระหว่างวันที่ 9 13 กันยายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สร้างมูลค่าการค้าเกือบ 4,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากครั้งที่ผ่านมา ดึงผู้ซื้อ-ผู้ร่วมงานจากทั่วโลก เข้าร่วมงานได้กว่า 46,000 ราย นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผู้จัดงานหลัก เปิดเผยว่า

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระ... DITP จับมือ 6 พันธมิตรเชื่อมข้อมูลและนำ AI มาเสริมทัพการค้าไทย — กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง Kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทั...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระ... DITP เชิดชู 20 ผู้ประกอบการไทย รับมอบตรา T Mark การันตีมาตรฐานสู่ตลาดโลก — กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดพิธีมอบประกาศนียบัตร...

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย... มหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ 'บางกอกเจมส์' ครั้งที่ 72 สุดอลังการ ดันเงินสะพัดกว่า 3,500 ล้านบาท — นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเป...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่ว... ชวนช้อป-ชิม-ทดลองใช้ในงาน Unique Unite — กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับ กูร์เมต์ มาร์เก็ต (Gourmet Market) โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป ชวนร่วมงาน...