สำหรับเกษตรกรเพื่อลดการชะล้างผิวดิน ควรต้องใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก อินทรียวัตถุให้ดินมีความนุ่มชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้น้ำจากผิวดินซึมซาบลงไปสู่ดินชั้นล่างให้มากที่สุด และที่สำคัญอย่าใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว เพราะด้วยปริมาณน้ำฝนที่มากก็จะเกิดน้ำหลาก ดินที่แน่นแข็งเป็นดาน หน้าดินตื้นจะถูกกระแสน้ำหลากพัดพาอินทรียวัตถุความอุดมสมบูรณ์ของดินไปได้ง่ายๆ และเมื่อน้ำท่วมผ่านไปแล้วพืชไร่ไม้ผลต่างๆ ที่ถูกน้ำท่วมในระยะหนึ่งจะช๊อต เพราะรากขาดออกซิเจน พืชอ่อนแอ ทรุดโทรม ต้นเหลือง และหลังน้ำท่วมอย่าเพิ่งรีบเข้าไปดูแลบริหารจัดการ เพราะจะไปเหยียบย่ำรากของพืชที่กำลังอ่อนแอให้บอบช้ำ และอาจจะเกิดโรคซ้ำเติมได้ง่าย ควรปล่อยให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งค่อยให้น้ำให้ปุ๋ยบำรุงอีกครั้ง เรื่องนี้ควรรู้เพราะถือเป็นปัญหาใหญ่ของเกษตรกรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเราควรเตรียมพร้อมให้มากๆ พยายามบริหารจัดการพื้นที่ให้น้ำหลาก หรือไหลผ่านไปได้โดยง่าย และหาวิธีในการกักเก็บน้ำส่วนเกินนี้ไว้ใช้ยามหน้าแล้งโดยการหาจุดที่ต่ำสุดของพื้นที่ที่น้ำไหลรวม เพื่อขุดทำสระน้ำประจำไร่นาของตนเองสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง ซึ่งหลังจากที่สัมผัสกันแล้วทั้ง "น้ำท่วม" และ "ฝนแล้ง" ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแบบไหนดีกว่ากัน สำหรับยุคข้าวยาก หมากแพง ภัยแล้งซ้ำซาก น้ำท่วมจำเจแบบนี้ แต่ลึกๆ เชื่อว่าพี่น้องเกษตรกรน่าจะชอบน้ำท่วมมากกว่าฝนแล้ง อย่างน้อยยังมีน้ำให้เพาะปลูกบนที่ดอน มีกุ้ง หอย ปู ปลา ให้ทำมาหาเลี้ยงชีพประทังพอไปได้
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยตรงที่ 02 986 1680-2
สนับสนุนบทความโดยนายมนตรี บุญจรัส
กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)
สอบถามข้อมูลข่าวได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2000 8499 , 081 732 7889
