ส่วนราคาทองคำในประเทศนั้นให้ผลตอบแทนประมาณ 2% หรือ ปรับเพิ่มขึ้น 400 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าราคาทองคำในตลาดโลกเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ราคาทองต่างประเทศได้ลดช่วงบวกลงหลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 12.5%จากต้นปี ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับแรงกดดันหลังนายเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นผู้สมัครสายกลางได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ฝรั่งเศสจะเดินหน้ากระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป และกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ราคาทองคำยังปรับตัวลงแรง หลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดในวันที่ 2-3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงแม้เฟดลงมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่แถลงการณ์หลังการประชุมบ่งชี้ว่ายังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ตัวเลขในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนที่แข็งแกร่งเกินคาดสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,200-1,295ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 19,750-21,300 บาทต่อบาททองคำ โดยแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาใกล้บริเวณแนวรับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 19,750 บาทต่อบาททองคำ และรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นแต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 21,300 บาทต่อบาททองคำได้ และเน้นย้ำว่านักลงทุนควรเน้นทำกำไรระยะสั้นและมีจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด (ราคาไทยคำนวณจากค่าเงินบาท ณ ระดับ 34.80 บาท/ดอลลาร์)
นอกจากการทำกำไรระยะสั้นแล้ว ยังคงแนะนำนักลงทุนให้ถือครองทองคำในพอร์ตลงทุนอย่างน้อย 10-20% เนื่องจากทั่วโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้นจึงควรกระจายการลงทุนส่วนหนึ่งไปยังสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำเพื่อเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
นางสาวฐิภา กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่จะเข้ามาชี้นำตลาดทองคำในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ได้แก่ การดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ขณะที่ตัวเลขในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ประจำเดือนเม.ย.ออกมาดีเกินคาด ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่ามีความเป็นได้มากกว่า 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถายนนี้ ขณะเดียวกันยังต้องจับตาเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสัญญาณการปรับลดขนาดงบดุลของเฟด โดยเจ้าหน้าที่เฟด หลายรายต่างออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนให้เฟดเริ่มต้นปรับลดขนาดงบดุลในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ หากมีการส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือการปรับลดขนาดงบดุล คาดว่าราคาทองคำจะได้ผลกระทบในเชิงลบเนื่องจากจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีการปรับตัวขึ้นซึ่งจะผลักดันสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าและเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
ถึงแม้ราคาทองคำจะเผชิญกับปัจจัยกดดันสำคัญคือการเดินหน้าปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ แต่คาดว่าราคาทองคำจะยังคงได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งอาจเป็นปัจจัยระยะสั้นที่หนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งการเลือกตั้งของอังกฤษในวันที่ 8 มิถุยายนนี้เป็นอีกปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยโดยเฉพาะจากนักลงทุนฝั่งยุโรปเช่นกัน
YLG รับรางวัลนักวิเคราะห์การลงทุนทองคำยอดเยี่ยม บนเวที IAA BEST ANALYST AWARDS 2022
YLG เสิร์ฟแอปฯ 'YLG Gold Investment' เทรดทองได้5สกุลเพิ่มโอกาสลงทุนทองช่วงบาทอ่อน เปิดทางพาคนไทยซื้อทองต้นทุนต่ำตามราคาตลาดโลก
YLG มองกนง.ขึ้นดอกเบี้ยกระทบทองไม่มาก ระยะยาวทองยังไปต่อเหตุเงินเฟ้อทั่วโลกยังพุ่ง
YLG คว้ารางวัลนักวิเคราะห์การลงทุนทองคำจากIAA2ปีซ้อน มองทิศทางทองคำระยะยาวยังแข็งแกร่ง แม้กลางปรับฐาน ชี้เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยบวก แม้เผชิญแรงกดดันจากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย
YLG แนะจับตาผลประชุมเฟดสัปดาห์นี้ หากส่งสัญญาณลด QE ราคาทองเสี่ยงลงต่อ
YLG เผยทองพุ่งรับผลถ้อยแถลงประธานเฟด แนะนำแบ่งทองขายทำกำไร แล้วรอซื้อเมื่ออ่อนตัว พร้อมจับการเปิดเผย NFP ศุกร์นี้
YLGชี้ทองคำกลับมาแข็งแกร่งทั้งระยะสั้น-ยาว รับปัจจัยหนุนเฟดย้ำชัดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย-ลดQE
YLG เผยทองลงหลังเฟดเริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย-ลดQE ชี้ทองมีสัญญาณรีบาวด์ระยะสั้น แนะขายเมื่อราคาดีด-รอเก็บต่ำกว่า $1,800