นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นปี 2560 ว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีหนี้เงินกู้สุทธิจำนวน 43,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 87% และมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.35%
ในปี 2560 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายจ่ายด้านการลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายในการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยประมาณ 8,000 ล้านบาท และรายจ่ายในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าประมาณ 7,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2561 นั้น บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 13,000 ล้านบาทประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยประมาณ 7,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพี่อการให้เช่าอีกจำนวน 6,000 ล้านบาท
ในส่วนของการระดมทุนนั้น บริษัทฯ มีแผนที่จะออกหุ้นกู้จำนวนไม่ต่ำกว่า 14,000 ล้านบาท และคาดว่า ณ. สิ้นปี 2561 บริษัทฯ จะมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อสิ้นปี 2560
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงาน ในปี 2561 โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย (Booking) 31,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2560 ที่ผ่านมา โดยสรุปดังนี้
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยปี 2560
ตัวเลขของบ้านจดทะเบียนเพิ่มเฉพาะประเภทจัดสรร ตั้งแต่ ม.ค.- พ.ย. 2560 มีจำนวนรวมทั้งหมด 82,283 หน่วย ลดลง 17.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลา 11 เดือนของปี 59 (มีจำนวน 100,179 หน่วย) หากประมาณการบ้านจดทะเบียนเพิ่มเฉพาะที่จัดสรรทั้งปี 2560 จะมีจำนวนรวมประมาณ 90,030 หน่วย ลดลง 14.0% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2559 (มีจำนวนรวมทั้งหมด 104,628 หน่วย)
- ประเภทบ้านเดี่ยว ในช่วง 11 เดือนแรก มีจำนวนรวม 11,155 หน่วย ลดลง 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 (มีจำนวน 11,772 หน่วย) ประมาณการรวมทั้งปี 60 มีจำนวน 12,200 หน่วย ลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับปี 59 ทั้งปี (มีจำนวนรวม 12,736 หน่วย)
- ประเภทบ้านแฝด ในช่วง 11 เดือนแรก มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 2,029 หน่วย เพิ่มขึ้น 21.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 (มีจำนวน 1,665 หน่วย) ประมาณการรวมทั้งปี 60 มีจำนวน 2,330 หน่วย เพิ่มขึ้น 23.% เมื่อเทียบกับปี 59 ทั้งปี (มีจำนวนรวม 1,895 หน่วย)
- ประเภททาวน์เฮ้าส์และอาคารพาณิชย์ ในช่วง 11 เดือนแรก มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 15,184 หน่วย ลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 (มีจำนวน 15,538 หน่วย) ประมาณการรวมทั้งปี 60 มีจำนวน 16,600 หน่วย ลดลง 3.0 % เมื่อเทียบกับปี 59 ทั้งปี (มีจำนวนรวม 17,111 หน่วย)
- ประเภทคอนโดมิเนียม ในช่วง 11 เดือนแรก มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 53,915 หน่วย ลดลง 24.3% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 (มีจำนวน 71,204 หน่วย) ประมาณการรวมทั้งปี 60 มีจำนวนรวม 58,900 หน่วย ลดลง 19.2 % เมื่อเทียบกับปี 59 ทั้งปี มีจำนวนรวม 72,886 หน่วย)
จำแนกเป็น
- โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการ (นับรวมบ้านแฝด)
- โครงการทาวน์โฮม 3 โครงการ
(ในโครงการที่ Mix สินค้า นับแยกออกตามประเภทสินค้า นับซ้ำโครงการ)
- โครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ
- ตลาดบ้านเดี่ยว บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 15 %
- ตลาดทาวน์เฮ้าส์ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 3.6 %
- ตลาดคอนโดมิเนียม บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 2.2 %
ณ ต้นปี 2560 บริษัทฯมีโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 68 โครงการ โดยเป็นโครงการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 40 โครงการ และต่างจังหวัด 28 โครงการ และในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนการดำเนินงานเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมด 36,300 ล้านบาท แบ่งแยกเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 16 โครงการ และต่างจังหวัด 2 โครงการ ทั้งนี้หากแบ่งตามประเภทของที่อยู่อาศัยได้ดังนี้
- โครงการบ้านเดี่ยว 14 โครงการ (นับรวมบ้านแฝด)
- โครงการทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ
(ในโครงการที่ Mix นับแยกออกตามประเภทสินค้า นับซ้ำโครงการ)
- คอนโดมิเนียม 4 โครงการ
รวมจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นในปี 2561 ทั้งหมด 86 โครงการ
ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ขายในปี 2561 เท่ากับ 7.0 ล้านบาท (ปี 2560 ราคาเฉลี่ยต่อยูนิต 7.5 ล้านบาท) และยอดโอนกรรมสิทธิ์มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท
อนึ่งหากพิจารณาสัดส่วนของยอดขาย (พิจารณาตามมูลค่า) ของปี 2561 จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย จะมีสัดส่วน ดังนี้
- บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 68 % , ทาวน์เฮ้าส์ 9 % , คอนโดมิเนียม 23 %
ในส่วนของแผนการลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ในทำเลต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล และต่างจังหวัด งบประมาณรวม 7,000 ล้านบาท ทั้งนี้การพิจารณาซื้อที่ดิน บริษัทจะพิจารณาทำเลที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้ทันทีและมีศักยภาพที่ดี