ARROW ส่งสัญญาณงบโค้งสุดท้ายบวก งานบริการรับเหมาก่อสร้าง-ผลิตภัณฑ์ใหม่เสริมทัพ

          บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) ทิ้งทวนโค้งสุดท้ายผลประกอบการส่งสัญญาณบวก รับงานรับเหมาก่อสร้างทยอยเข้าต่อเนื่อง แถมได้ผลิตภัณฑ์ใหม่เสริมเขี้ยวเล็บเต็มสูบ "ธานินทร์ ตันประวัติ" ประกาศนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 25-30% พร้อมทั้งเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
          นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ARROW) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะออกมาอยู่ในทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับทุกไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากในครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอจากงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังเติบโต ประกอบกับทยอยรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ อุปกรณ์ในการก่อสร้างระบบ Post tension ซึ่งกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 20% 
          "เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของผลประกอบการไตรมาส 4/2560 เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณงานบริการรับเหมาก่อสร้างเข้ามาจำนวนมาก จากการที่ภาครัฐเร่งผลักดันให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงการรถไฟฟ้า และการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าจากอากาศลงใต้ดิน ประกอบกับทยอยรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยซับพอร์ตธุรกิจเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมที่ช่วยหนุนผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าไตรมาส4 ปีนี้จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด"นายธานินทร์กล่าว 
          อย่างไรก็ตามบริษัทมีนโยบายเพิ่มยอดขายเพื่อให้ผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต ปรับราคาขายสินค้าและบริการให้เป็นไปตามราคาตลาดควบคู่กับการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 25-30% ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10-15% ต่อปี ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปีนี้บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของการลงทุน ซึ่งไตรมาส4 นี้ เครื่องจักรผลิตท่อร้อยสายไฟที่ได้รับบัตรส่งเสริมก็เริ่มทำการผลิต รวมทั้งการลงทุนเพิ่มเครื่องจักรในการเพิ่มกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรองรับการขยายตัวจากโครงการภาครัฐที่คาดว่าจะส่งผลในปี 2561