ผถห. MTLS ไฟเขียว เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "MTC" พร้อมอนุมัติปันผล 0.18 บาทต่อหุ้น

23 Apr 2018
MTLS เฮ ผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อจาก"เมืองไทยลิสซิ่ง" (MTLS) เป็น "เมืองไทยแคปปิตอล" (MTC) พร้อมโหวตจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.18 บาท แขวน XD 27 เม.ย.นี้ และจ่ายเงินสด 14 พ.ค.นี้ ด้านผู้บริหารแจงเปลี่ยนชื่อเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการทำธุรกิจ คาดไม่เกินกลางปีนี้กระบวนเปลี่ยนชื่อแล้วเสร็จ มั่นใจผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโต 40% ตามเป้า กดหนี้เอ็นพีแอลไว้ได้ต่ำกว่า 1.5% ยันภาพรวมทั้งปีเติบโตได้ตามแผน
ผถห. MTLS ไฟเขียว เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "MTC" พร้อมอนุมัติปันผล 0.18 บาทต่อหุ้น

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนชื่อใหม่ จากบริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เป็น บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลในงวดผลการดำเนินงานปี 2560 โดยจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิ์เงินปันผล (XD) ภายในวันที่ 27 เมษายน 2561 พร้อมจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในวันที่ 14 พฤษภาคม 2561

สำหรับวัตถุประสงค์การเปลี่ยนชื่อบริษัทนั้น เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศที่ยังไม่รู้จักให้เข้าใจถูกต้องว่า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจ "สินเชื่อ" มิใช่ "เช่าซื้อ" คาดว่ากระบวนการเปลี่ยนชื่อจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางปีนี้ รวมทั้ง ที่ผ่านมามีประกาศราชกิจจานุเบกษาออกพระราชบัญญัติคุมธุรกิจเช่าซื้อ หรือ ลิสซิ่ง ออกมาแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไปนั้น ซึ่งปรากฎว่า พ.ร.บ.ใหม่จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเช่าซื้อเท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อ MTLS เพราะบริษัทฯทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ไม่ได้ทำธุรกิจเช่าซื้อแต่อย่างใด เพียงแค่ชื่อบริษัทฯลงท้ายว่า ลิสซิ่งเท่านั้น และเมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วเชื่อว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 1/2561 คาดว่าจะการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจะมีการเติบโตระดับ 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้รายได้ หรือ NPL ให้อยู่ระดับไม่เกิน 1.5% รวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯได้เปิดสาขาเพิ่มแล้ว นับตั้งแต่ต้นปี สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 จำนวน 214 สาขา จากเป้าหมายที่จะเปิดสาขาจำนวน 600 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จึงรวมเป็น จำนวนสาขาทั้งสิ้น 2,637 สาขา

นายชูชาติกล่าวว่า การที่ไตรมาส 1 ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปีจะสามารถเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ โดยปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง จากปีก่อนที่ทำได้ 2,500.60 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ยังเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้ น่าจะทำสถิติใหม่เช่นกัน ประเมินว่าจะทำได้เกิน 8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 40% จากปีก่อน ขณะที่ปี2562 และปี2563 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยมากกว่า 35%

"บริษัทวางเป้าหมาย 3 ปี (2561-2563) ยอดปล่อยสินเชื่อต้องโตอย่างน้อย 40%, 40% และ 30% หรือเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 35% ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนของภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายของภาคประชาชน ซึ่งสินเชื่อก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นธุรกิจของเราจะยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อยอีก 3 ปี" นายชูชาติ กล่าว