นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่ากองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (กองทุน FTA) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดการค้าเสรีทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี อาทิ เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ไทย-จีน ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-นิวซีแลนด์ ไทย-ญี่ปุ่น อาเซียน-จีน อาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งการเปิดเขตการค้าเสรีดังกล่าวโดยรวมแล้วประเทศไทยได้รับประโยชน์ แต่เนื่องจากมีสินค้าเกษตรบางกลุ่มของไทยได้รับผลกระทบตามความสามารถในการแข่งขันของชนิดสินค้า ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ให้จัดตั้งกองทุน FTA ขึ้น โดยมีเลขาธิการ สศก. เป็นประธานกองทุน มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร ปฏิรูปผลิตผลทางการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการแปรรูป การสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและอาหาร รวมทั้งช่วยเหลือให้เกษตรกรผลิตสินค้าให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินงานของกองทุนฯ จะจ่ายเงินช่วยเหลือการผลิตสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมในลักษณะจ่ายขาดหรือเงินหมุนเวียน โดยเงินจ่ายขาด จะให้เฉพาะกรณีค่าใช้จ่าย ค่าปัจจัยการผลิตในกรณีทดลอง/สาธิต/นำร่อง ค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับงานวิจัยต้องเป็นการวิจัยประยุกต์ ค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ค่าบริหารโครงการไม่เกินร้อยละ 3 ส่วนเงินหมุนเวียน ให้กรณีค่าใช้จ่ายลงทุน ค่าก่อสร้างโรงเรือน/โรงงาน ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการผลิต
ในส่วนของผู้ที่จะเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จะต้องจัดทำโครงการ งานหรือกิจกรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการเปิดเสรีทางการค้า (Free Trade Area: FTA) ซึ่งโครงการที่เสนอต้องเป็นโครงการช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับเกษตรกร มีความเป็นไปได้ทั้งการผลิตและการตลาดโดยใช้ตลาดนำการผลิตและคุ้มค่าในการลงทุน
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา กองทุนฯ ได้อนุมัติรวมทั้งสิ้นแล้ว 25 โครงการ ในหลายชนิดสินค้า อาทิ ข้าว โคเนื้อ โคนม ชา ปาล์มน้ำมัน สุกร กาแฟ และพืชผัก รวมทั้งยังมีสินค้าอีกหลายชนิด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 785 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินงานกองทุนฯ ที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้ามาอย่างต่อเนื่อง ทางกระทรวงการคลัง ได้ประเมินผลการดำเนินงานทั้งด้านการเงิน การปฏิบัติงาน การพัฒนาองค์กร และการสนองประโยชน์ผู้มีส่วนได้เสีย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า กองทุน FTA กระทรวงเกษตรฯ มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ภาพรวมเกษตรกรมีความพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 90 ต่อการให้บริการของกองทุน FTA มาโดยตลอด ทั้งนี้ เกษตรกรและผู้ที่ได้รับผลกระทบหรืออาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า สามารถเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนFTA ได้ตลอด โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริหารกองทุนภาคเกษตร โทรศัพท์ 0 2561 4727 หรือโทรสาร 0 2561 4726 และwww2.oae.go.th/FTA หรือ E-mail : [email protected]
                            
                            กองทุน FTA เคาะงบ 21 ล้านบาท ดันศักยภาพเกษตรกรโคเนื้อวากิว เมืองสุรินทร์ ตั้งเป้าผลิตโคขุนเกรดคุณภาพสูง ส่งเสริมตลาด รับมือผลกระทบ TAFTA
                        
                            สศก. แทคทีม กรมปศุสัตว์ เร่งติดตามโครงการพัฒนาศักยภาพโคเนื้อรองรับ FTA หลังประเดิมโครงการปีแรก
                        
                            กองทุน FTA ผนึกรัฐ-เอกชน-เกษตรกร เตรียมแผน MOU ความร่วมมือ 3 ปี ช่วยเกษตรกรจากการเปิดเสรีการค้า
                        
                            เลขาธิการ สศก. นำทีมคณะ ลงพื้นที่ประเมินความพร้อม บ.พรีเมียม บีฟ หลังกองทุน FTA อนุมัติ 161.79 ล้านบาท เดินหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพโคเนื้อ
                        
                            สศก. โดยกองทุน FTA ทุ่มงบ 161.79 ล้านบาท ยกระดับผู้เลี้ยงโค ผนึกกรมปศุสัตว์ พัฒนาศักยภาพ และอุตสาหกรรมโคเนื้อไทย รองรับ TAFTA
                        
                            ต้นแบบแปลงใหญ่ 'ตะไคร้บ้านวงฆ้อง' จ.กำแพงเพชร รวมกลุ่มผลิตมาตรฐาน GAP สร้างรายได้ หนุนเศรษฐกิจชุมชน
                        
                            เลขาธิการ สศก. เตรียมนำทีม ลุย Crop Cutting ภาคสนามเพชรบูรณ์ 27 ตุลาคมนี้ ลงพื้นที่แปลงข้าวโพดเกษตรกร ยกระดับข้อมูลแม่นยำพืชเศรษฐกิจของประเทศ
                        
                            ของดีเมืองสงขลา 'ส้มโอหอมควนลัง' GI เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตส้มโอคุณภาพ ออกตลาด ต.ค. - พ.ย. นี้
                        
                            'แปลงใหญ่ทั่วไป (ข้าว)' จ.สุพรรณบุรี ผลิตข้าว GAP คุณภาพ แหล่งให้บริการเครื่องจักรกลการเกษตรในพื้นที่ สร้างรายได้ให้กลุ่ม 810,000 บาท/ปี