นายชัชพล ประสพโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า จากการกลับมาผลิตปิโตรเลียมที่แหล่งบูรพาเอ ของ บริษัท สยามโมเอโกะ จำกัด ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีก๊าซธรรมชาติที่เผาทิ้งในการผลิตน้ำมันดิบ (Associated Gas) เพิ่มประมาณ 300,000 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งหากรวมกับAssociated Gas จากแหล่งเสาเถียร เอ ของ ปตท..��ผ. ที่รับมาวันละประมาณ 1.45 ล้านลูกบาศก์ฟุต จะส่งผลให้ UACสามารถเดินเครื่องจากโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) ได้กว่า 90% ของความสามารถในการผลิตรวม และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เริ่มโครงการมา
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการปรับกลยุทธ์การผลิต เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มการผลิตในส่วนของก๊าซ C1, ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม (LPG) และก๊าซโซลีนธรรมชาติ (NGL) และลดการผลิตในส่วนของก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) ลง เพื่อบริษัทฯสามารถส่ง C1ไปให้โรงไฟฟ้าเสาเถียรได้ต่อเนื่อง สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงกว่าที่ผ่านมา 130 %
" มั่นใจว่าสถานการณ์ของ PPP และโรงไฟฟ้าเสาเถียร จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณ Associated Gas ที่มากขึ้น และราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในช่วงขาขึ้นตามราคาปิโตรเลียมของโลก ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะเสริมให้ผลประกอบการของ UAC ในไตรมาส 4 มีความแข็งแกร่งมากขึ้น " นายชัชพล กล่าว
พร้อมกันนี้ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) ยังได้กล่าวเพิ่มว่า สำหรับภาพธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2561 เชื่อว่ามีการเติบโตจากกลุ่มเทรดดิ้ง ซึ่งมีความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มลูกค้าโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี ที่มีการขยายกำลังผลิต ส่งผลให้สารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ กลุ่มพลังงานได้รับปัจจัยบวกจากธุรกิจไบโอดีเซล และ PPP ที่มีทิศทางการขยายตัวที่ดีมากขึ้น ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มเคมีภัณฑ์ ยังคงทรงตัว ดังนั้นจึงมั่นใจว่ายอดขายในปี 2561 ของบริษัทฯยังสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,500 ล้านบาท
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit