พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการพิจารณาและให้ความเห็นชอบ "โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน" หรือ ซื้อเรือคืน ตามแผนบริหารจัดการประมงทะเล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบไว้ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน 2558 สำหรับเรือประมงที่จะเข้าโครงการนี้จะต้องเป็นเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมง แจ้งจุดจอด ตรึงพังงา และจัดทำ UVI (อัตลักษณ์เรือ) จากกรมเจ้าท่าเรียบร้อยแล้ว และไม่มีคดีใด ๆ โดยจัดซื้อในราคาตามสภาพจริง แต่จะไม่เกินร้อยละ 50 ของราคากลางที่ได้จัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2558 เรียบร้อยแล้ว จำนวน 680 ลำ ในกรอบวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งการจัดซื้อเป็น 3 ระยะ ระยะแรกจะเริ่มจากเรือประมงขนาดเล็กและกลาง (10 – 60 ตันกรอส) จำนวน 409 ลำ วงเงินประมาณ 690 ล้านบาท เมื่อได้ดำเนินการระยะแรกเสร็จสิ้น ที่เหลืออีก 271 ลำ ซึ่งเป็นกลุ่มเรือขนาดใหญ่จะได้ดำเนินการต่อไป
"หลังจากที่ประชุมให้ความเห็นชอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินกลางเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ซื้อเรือคืนระยะแรกดำเนินการได้ภายใน 30 กันยายน 2561 การซื้อเรือคืนครั้งนี้นอกจากเป็นการลดจำนวนเรือประมงให้เหมาะสมกับปริมาณปลาเพื่อการประมงที่ยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว ยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแก้ไขปัญหา IUU อีกด้วย ซึ่งต้องขอขอบคุณชาวประมงทุกท่าน สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันทำงานกับภาครัฐมาเป็นอย่างดีโดยตลอด" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
“ทูตวีรชัย”แจงภาคเอกชนผู้นำเข้าระดับโลกตอบรับเชื่อมั่นระบบการแก้ไขปัญหาประมงไอยูยูและแรงงานของไทยเดินถูกทาง ด้านวอลล์มาร์ทยกไทยผู้นำแก้ปัญหาแรงงานในภูมิภาคอาเซียน หนุนช่วยร่วมมือขยายผลประเทศเพื่อนบ้าน
ที ลีสซิ่ง ร่วมกับอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ คืนความอุดมสมบูรณ์สู่ธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบนิเวศท้องทะเลไทย
เกษตรฯ มุ่งแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) พร้อมช่วยเหลือเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐปี 2558 - 2559
ซีพีเอฟ ร่วมกับกลุ่ม SeaBOS ประกาศเจตนารมณ์สร้างอุตสาหกรรมอาหารทะเลโปร่งใส และยั่งยืน
ซีพีเอฟ ต่อยอดมาตรฐาน IFFO สู่กิจการในต่างประเทศ