นักวิชาการเผย PDP ฉบับใหม่ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลัก พร้อมปรับตัวรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          เวทีเสวนาทิศทางพลังงานไทย ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ซึ่งจัดโดยมีเดีย แอนด์ บล็อกเกอร์ คลับ ได้แนวทางระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน นำไปสู่ฐานข้อมูลด้านสถานการณ์พลังงานและแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคต โดยทุกฝ่ายเห็นว่าแผนพีดีพีที่จะจัดทำขึ้นใหม่ จะต้องมีโรงไฟฟ้าหลักอยู่ในแผน เน้นการกระจายในทุกภาคของประเทศต้องมีการบริหารจัดการที่ดี รวมทั้งต้องปรับตัวรับกับเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
          มีเดีย แอนด์ บล็อกเกอร์ คลับ จัดเสวนาหัวข้อเรื่อง "ทิศทางพลังงานไทย ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก" ในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 เวลา 9.00 – 12.00 น. ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วยนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ,ดร.อุริช อัชชโคสิต นักวิชาการด้านพลังงาน ,นายสุวัฒน์ กมลพนัส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายภัทรพงศ์ เทพา ผู้ช่วยผู้ว่าการนโยบาย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
          ทั้งนี้เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์พลังงานและแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ความต้องการใช้ไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้ารายภาค กรอบในการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ แตกต่างจากฉบับเดิมอย่างไร ปัจจัยหลักที่ใช้ในการพยากรณ์ในแผน PDP ฉบับใหม่ ความจำเป็นที่ต้องมีแผน PDP และแผน PDPฉบับใหม่ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้าไทยอย่างไร
          โดยมีผู้เข้าฟังจากวงการที่เกี่ยวข้องเช่น ภาครัฐ อาทิ เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวแทนจากองค์กรบริหารท้องถิ่น ภาคเอกชน อาทิ ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สภาหอการค้าประจำจังหวัด สมาคมผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวจังหวัด สื่อมวลชน อาทิ Blogger/เวบมาสเตอร์/ สื่อมวลชนสายพลังงาน / อุตสาหกรรม / สิ่งแวดล้อม ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ ภาควิชาการ สถาบันการศึกษา นักวิชาการพลังงาน นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
          นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าและส่งออกพลังงาน โดยสามารถผลิตได้ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแต่ผลิตได้น้อยกว่าความต้องการใช้ จึงต้องมีการนำเข้า และมีแนวโน้มที่จะต้องนำเข้าพลังงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งน้ำมัน ก๊าซฯ ไฟฟ้า และถ่านหิน โดยหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศ จะมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1.ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน เพราะทรัพยากรของประเทศมีน้อย ต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และ 2.ต้องแสวงหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม
          ซึ่งในเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน สามารถทำได้ทั้งในเรื่องการขนส่ง การใช้ไฟฟ้า การประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งในปี 2560 การนำเข้าพลังงานของไทยมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาทปี ในส่วนนี้เป็นการนำเข้าน้ำมันถึง 7 แสนล้านบาท ถ้าประเทศไทยสามารถจัดการเรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ จะประหยัดเงินตราต่างประเทศได้มากและเมื่อดูตัวเลขเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน หรือยุโรป ประสิทธิภาพของไทยจะต่ำมาก เห็นได้จากการใช้พลังงานต่อการเติบโตของจีดีพี ถ้าจีดีพีเพิ่มขึ้น 1% การใช้พลังงานของไทยจะเพิ่มขึ้นเกือบ 1% ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นแค่ 0.3-0.4% และหากเทียบประเทศในกลุ่มอาเซียน สัดส่วนการใช้พลังงานของไทยจะดีกว่า สปป.ลาว และประเทศกัมพูชา แต่ถ้าเทียบกับประเทศเวียดนามแล้วสัดส่วนการใช้พลังงานจะดีกว่าประเทศไทย
          สำหรับปัญหาในภาคพลังงานของไทย คือ ผลิตพลังงานได้ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันดิบ 87% ของความต้องการในประเทศ นำเข้าก๊าซฯ 29% ซึ่งสัดส่วนนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าการใช้ก๊าซฯ จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องทดแทนด้วยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งมีราคาแพงจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้น นอกจากนี้ จะต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้า ซึ่งจะเพิ่มจาก 5 ล้านตันในปัจจุบัน เป็น 30 ล้านตันในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีแผนที่จะขยายโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 17.5 ล้านตันต่อปี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 1.5 ล้านตันต่อปี
          ดังนั้น ความมั่นคงทางด้านพลังงานจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีการวางแผนการผลิตไฟฟ้าในอนาคตให้เพียงพอในทุกพื้นที่ ซึ่งแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ (พีดีพี) ฉบับใหม่ จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตในระบบ 42,299 เมกะวัตต์ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตสำรองสูงกว่า 40% และต้องดูว่าเป็นกำลังการผลิตสำรองที่สามารถพึ่งพาได้หรือไม่ ในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับ โรงไฟฟ้าจำนวน 42,299 เมกะวัตต์ จะต้องผลิตไฟฟ้าใช้ได้ทันที แต่หากกำลังการผลิตสำรองไม่สามารถผลิตได้ จึงต้องดูว่ากำลังการผลิตสำรองมากถึง 40% พึ่งพาได้เท่าไร
          ดังนั้นแผนพีดีพี 2015 ที่จะปรับเปลี่ยนใหม่เป็นพีดีพี 2018 จึงมีความสำคัญมาก คือ โดยจะต้องมีการการบริหารแหล่งเชื้อเพลิง และสร้างโรงไฟฟ้าแยกเป็นตามรายภูมิภาคซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงได้ โดยดูว่าภาคไหนมีความต้องการมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้อยากให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้กำหนดเองว่าต้องการโรงไฟฟ้าหรือไม่ โรงไฟฟ้าประเภทใดและต้องการได้ผลประโยชน์อย่างไรบ้างในพื้นที่ ในขณะที่ภาครัฐจะต้องทำรายงานการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อป้องกันปัญหาการต่อต้านจากประชาชน ขณะเดียวกันก็จะต้องกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง อย่างโรงไฟฟ้าหลัก โดยอาจให้ กฟผ.เป็นผู้ดำเนินการตามเดิม
          ดร.อุริช อัชชโคสิต นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า แผนการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันและอนาคตต่อไปจะต้องเน้นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะเห็นได้จากในอดีตเราจะต้องทำการรายผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และปรับมาเป็นการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) และต่อไปคือ การทำSEA ซึ่งทำให้ต่อการสร้างโรงไฟฟ้าก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่แนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          โดยเห็นว่าพีดีพีฉบับใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ หรือเป็นรายภาค ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละภาค และควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม แบตเตอรี่ หรือโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นต้น รวมทั้งอยากเห็นชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดว่าพื้นที่ใดที่มีความเหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้า
          ขณะที่คุณสุวัฒน์ กมลพนัส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนในฐานะที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงาน ทราบดีว่าประเทศไทยต้องนำเข้าพลังงาน ในฐานะที่เป็นประธานกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ก็เข้าใจว่าพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เป็นพลังงานสะอาด แต่มีราคาสูงและอาจจะไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ไม่สามารถใช้เป็นพลังงานหลักได้ จึงจำเป็นต้องมีแบตแตอรี่ในการกักเก็บพลังงานในส่วนที่เหลือมาไว้ในใช้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาให้ดีว่าประเทศไทยจะมีการบริหารจัดการอย่างไร
          แต่อย่างไรก็ตาม เห็นว่า แผนพีดีพีที่ดีจะต้องกระจายเชื้อเพลิง ให้พึ่งพาหลายประเภท ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม แต่เชื่อได้ว่าจะมีการพัฒนามากขึ้นในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังให้ความสำคัญกับโครงการประหยัดพลังงานภาคสมัครใจ (demand respond) โดยอยากจะให้ภาครัฐส่งเสริมการลดการใช้ไฟฟ้าลงมากกว่าการที่จะไปเพิ่มกำลังการผลิต เพราะเป็นการลดการใช้พลังงาน แต่อยากให้แผนพีดีพีกำหนดแผนให้ชัดเจน โดยอาจมีเรื่องการเงินเป็นแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการอย่างจริงจัง
          นายภัทรพงศ์ เทพา ผู้ช่วยผู้ว่าการนโยบาย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า แนวโน้มพีดีพีฉบับใหม่มีปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รายละเอียดของแผนพีดีพีเปลี่ยนแปลงไป คือ ทิศทางของโลก นโยบายภาครัฐ และการปฏิรูปด้านพลังงาน โดยในส่วนของแนวโน้มในอนาคตจะเห็นได้ว่าจะมีภาคเอกชนรายย่อยเข้ามาผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.จะค่อยๆ เล็กลง รวมทั้งจะมีเทคโนโลยีใหม่ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เข้ามามากขึ้น ทำให้ กฟผ.จะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทมาเป็นผู้ดูแลระบบจากเดิมที่เป็นผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ดูแลทั้งระบบ
          ในอีก 5-7 ปี กังวลว่าหากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือประเภทอื่นเข้ามาผลิตไฟฟ้ามากขึ้น กฟผ.ก็จะต้องหาวิธีการที่จะรองรับการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้มีความมั่นคง และเพื่อให้ไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น
          นางสาวสาธิตา โสรัสสะ ประธานมีเดีย แอนด์ บล็อกเกอร์ คลับ กล่าวว่า การที่จัดงานนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มสื่อและบล็อกเกอร์ที่ให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจ ขณะที่เรื่องความมั่นคงด้านพลังงานมีความสำคัญต่อประเทศ จึงได้จัดงานนี้เพื่อระดมความเห็นจากทุกฝ่ายนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงาน
นักวิชาการเผย PDP ฉบับใหม่ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลัก พร้อมปรับตัวรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
 
นักวิชาการเผย PDP ฉบับใหม่ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลัก พร้อมปรับตัวรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
 
นักวิชาการเผย PDP ฉบับใหม่ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลัก พร้อมปรับตัวรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

ข่าวการบริหารจัดการ+ทิศทางพลังงานวันนี้

ไทยยูเนี่ยนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดด้านการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ CDP ระดับ A- ตอกย้ำความก้าวหน้าภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange(R) 2030

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ CDP ประจำปี 2025 ในระดับ A- ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มผู้นำ (Leadership) สะท้อนมาตรฐานด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายที่ท้าทาย ความก้าวหน้าที่เห็นผลเป็นรูปธรรม และการดำเนินงานที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม โดย CDP เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำหน้าที่ประเมินบริษัทมากกว่า 22,000 แห่งทั่วโลกจากข้อมูลที่รายงานผ่าน

ไทยประกันชีวิต เดินหน้ายกระดับนวัตกรรมบริ... ไทยประกันชีวิต ชู TLI แอปพลิเคชัน ตอบโจทย์บริการด้านสุขภาพ-การเงินแบบครบวงจร — ไทยประกันชีวิต เดินหน้ายกระดับนวัตกรรมบริการตามเจตนารมณ์การเป็นทุกคำตอบของช...

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บร... ปตท. คว้า 6 รางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2025 สะท้อนบทบาทองค์กรแห่งความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน — นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร...

บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR ผ... SKR คว้าหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2568 ระดับ "A" ตอกย้ำการบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืน — บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR ผู้ประกอบธุรก...

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริก... เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดบ้านต้อนรับคณะ SME Development Center หอการค้าไทย — เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนและโลจิสติกส์ชั้นนำร...

การบริหารจัดการต้นทุนในปัจจุบันนั้นเป็นเร... ซื้อรถโฟล์คลิฟท์มือสอง JUNGSTARS มีข้อดีอะไรบ้าง? — การบริหารจัดการต้นทุนในปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การมองหาทางเลือกที่คุ้มค่าและมีคุณภาพสูงจึง...

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ผนึก สำนั... DPU จับมือ สวก. ลงนาม MOU ยกระดับองค์ความรู้และนวัตกรรมการเกษตร — มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ผนึก สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ส...