บลจ.ธนชาต ชู T-SmartBeta กองทุนแนวใหม่ ตอบโจทย์...ทั้งหุ้นขึ้น หุ้นลง

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          บลจ.ธนชาต เปิดตัวกองทุน T-SmartBeta กองทุนที่สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทั้งหุ้นขึ้นและหุ้นลง เปิดขายครั้งแรก 5-11 กันยายนนี้ ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท
          นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทได้ออกกองทุนใหม่ที่ตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น โดยนโยบายกองทุนมีความยืดหยุ่น เหมาะกับตลาดการลงทุนในปัจจุบันที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สำหรับกองทุน T-SmartBeta จะเน้นลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า Mid Beta และ Low Beta ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนระหว่างหุ้น 2 ประเภทให้เหมาะกับสภาวะลงทุนในขณะนั้น ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเน้นลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำอย่างLow Beta เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะรับกับมุมมองทิศทางการลงทุนหุ้นไทยในปีหน้าด้วย
          "หลังจากนี้ บลจ.ธนชาต ยังเชื่อว่าหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า และคิดว่าหุ้นไทยในปีหน้าที่ PE 14 เท่ามีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่มีทิศทางเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของกำไรบริษัทในตลาด ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า"
          บลจ.ธนชาต จึงได้พัฒนากองทุนให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้สามารถทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น และเมื่อตลาดเป็นขาลงก็ผสมหุ้น Low Beta เพื่อให้กองทุนไม่ผันผวนตามตลาดมากนัก
          "ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต มีกองทุนที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากๆ อย่างกองทุนประเภท Low Beta อยู่ 3 กองทุน คือ T-LowBeta, T-LowBetaRMF และ T-LowBetaLTFD ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เรียกได้ว่าเมื่อนึกถึงกองทุนหุ้นผันผวนต่ำ ก็จะมีชื่อ T-LowBeta อยู่ในระดับต้นๆ แต่ที่ผ่านมาในช่วงที่หุ้นขึ้นสูงๆ ก็มีผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่านั้นปรับไปลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วไปบ้าง เพราะกองทุนประเภท Low Beta ในทางทฤษฎีจะทำผลตอบแทนได้ไม่สูงเท่ากับกองทุนหุ้นทั่วไป"
          ในส่วนของกองทุน T-SmartBeta ที่เปิดตัวในครั้งนี้ มีจุดเด่นที่สำคัญอีก 1 อย่าง ของกองทุน T-SmartBeta คือ หุ้นที่กองทุนสนใจลงทุนคือหุ้นที่เรียกว่า Mid Beta ซึ่งเป็นหุ้นที่ค่า Beta ระหว่าง 1 – 1.4 โดย บลจ.ธนชาต ได้แบ่งหุ้นออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.ประเภท Low Beta (ค่า Beta น้อยกว่า1) 2. ประเภท Mid Beta (ค่า Beta ระหว่าง 1 – 1.4) และ 3.ประเภท High Beta (ค่า Beta มากกว่า 1.4) ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าเป็นช่วง Beta ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดในช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ มกราคม 2557 ถึง กรกฎาคม 2561) โดยความคุ้มค่าจะวัดจากผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง กล่าวคือ ความเสี่ยงที่เท่ากัน หุ้นตัวที่เรามองว่าคุ้มค่าคือหุ้นที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่านั่นเอง
          นอกจากนั้น กองทุนยังนำเอาตัวชี้วัดที่เป็นการบริหารกองทุนในเชิงเทคนิคเข้ามาบริหารพอร์ตลงทุน เพื่อทำให้การปรับสัดส่วนการลงทุนของผู้จัดการกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
          กองทุน T-SmartBeta ของ บลจ.ธนชาต มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีค่า Beta ไม่เกิน 1.4 โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นได้สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยในการเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 5-11 กันยายนนี้ จะเก็บค่าธรรมเนียมการขายในอัตราพิเศษเพียง 0.25% เท่านั้น (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท ส่วนครั้งถัดไปขั้นต่ำ 1,000 บาท
          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมขอรับหนังสือชี้ชวนได้ในวันและเวลาทำการเสนอขายที่ บลจ.ธนชาต โทรศัพท์ 0-2126-8399 กด 0 หรือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร.1770 หรือผู้สนับสนุนการขาย หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ บลจ.ธนชาต แต่งตั้ง www.thanachartfund.com
บลจ.ธนชาต ชู T-SmartBeta กองทุนแนวใหม่ ตอบโจทย์...ทั้งหุ้นขึ้น หุ้นลง
          คำเตือน
          - ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ ในช่วง 1 ปีแรกได้ ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินจำนวนมาก
          - ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
          - ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
          - การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับเงินลงทุน มากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
 

ข่าวหลักทรัพย์จัดการกองทุน+บุญชัย เกียรติธนาวิทย์วันนี้

บลจ.อีสท์สปริง เตรียมจ่ายปันผลกองทุนอสังหาฯ "LUXF" 0.64 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่ากว่า 125 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ลักซ์ชัวรี่ (LUXF) สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ในอัตรา 0.64 บาทต่อหน่วย มูลค่ารวม 125,760,000 บาท โดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 18 กันยายน 2568 สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ (LUXF) เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนโยบายการลงทุน

BBLAM เสนอขาย IPO 'กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพ... BBLAM เสนอขาย IPO 'BP17/25(AI)' วันที่ 11-15 ก.ย. 2568 — BBLAM เสนอขาย IPO 'กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 17/25 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย' หรือ BP17/25(AI) ซึ่งเ...

บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตช... บลจ.กสิกรไทย ชู K-VALUE ทางเลือกลงทุนรับปันผลสูง ชี้จังหวะลงทุนหุ้นไทยรับตลาด Upside ในระยะสั้น — บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตชะลอลง คาด GDP ไ...

ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ "กองทุนรวม SRI" ยกระดับความโปร่งใส สู่มาตรฐานสากล

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวม SRI* (Sustainable and Responsible Investing...