นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลงและความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนจากปัจจัยต่างๆ อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, อังกฤษประกาศแยกตัวจากยุโรป (Brexit), การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทีมจัดการลงทุนจึงแนะนำให้กระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้น โดยมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อหน่วยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่ยังมีโอกาสเติบโตที่ดี
ทีมจัดการลงทุนจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลกที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็น 'Megatrend' ของโลก พบว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดยบริษัทชั้นนำในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเมื่อปี 2000 (พ.ศ. 2543) เช่น Google, Amazon, Microsoft, Facebook, BMW ที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ล้วนแต่มีนวัตกรรมหรืออยู่ในธุรกิจที่เป็น Megatrend
ทั้งนี้ จากการศึกษา Megatrend ระดับโลกพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่
1. Digitalization หรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยียุคใหม่อย่าง Internet of Things (IOT) หรือการเชื่อมโยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยอินเทอร์เน็ต และระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้เองเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ ส่งผลให้ธุรกิจด้านอี-คอมเมิร์ช FinTech เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโตได้อีก
2. ระบบ Automation และ Robotics การนำนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์หรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยคาดว่านับจากปี 2560 – 2564 อุตสาหกรรมหุ่นยนต์จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอุตสาหกรรมที่ใช้หุ่นยนต์มากที่สุดคือ ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนใหญ่ถูกจำหน่ายให้แก่บริษัทในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และเยอรมัน
3. Healthcare Technology เทคโนโลยีด้านการดูแลและรักษาสุขภาพ เนื่องจากประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อสุขภาพมากขึ้นและเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา คาดว่าเมื่อถึงปี 2040 (พ.ศ. 2583) ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อจีดีพีของประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และ
4. Millennials การให้ความสนใจกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคน Gen Y และ Gen Z ที่เกิดในช่วงปี 2523 – 2543 หรือมีอายุตั้งแต่ 19 – 39 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีตลอดเวลา โดยคาดว่าในปี 2025 (พ.ศ. 2568) ประชากรกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของโลกและคิดเป็น 75% ของประชากรวัยทำงาน
ทั้งนี้ กองทุนมีจุดเด่นคือ การคัดเลือกธีมการลงทุนที่อยู่ใน Megatrend ของโลก โดยมีการจัดสรรการลงทุนโดยทีมจัดการลงทุนของ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละช่วงขณะ โดยเรามีมุมมองว่า การคัดเลือกธีมลงทุนและการจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยผู้จัดการลงทุนจะสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและจัดสรรความเสี่ยงการลงทุนให้กับพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมให้กับผู้ลงทุนได้ โดยในการลงทุนเริ่มต้น ทีมจัดการลงทุนจะกระจายการลงทุนใน 4 ธีมลงทุน ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล (Digitalization) ออโตเมชั่นและหุ่นยนต์ (Automation & Robotics) เทคโนโลยีการดูแลรักษาสุขภาพ (Healthcare Technology) และธุรกิจที่จับลูกค้ากลุ่ม Millennials ทั้งนี้จะลงทุนผ่านกองทุน ETF จำนวน 5 กองทุน ที่บริหารจัดการโดย BlackRock Asset Management North Asia Limited, Principal Global Investors (Ireland) Limited, และ Global X Management Company, LLC ซึ่งจะลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต อาทิ B2W DIGITAL ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจอี-คอมเมิร์ชจากบราซิลที่มีอัตราเติบโตที่โดดเด่น, GARMIN ผู้ผลิตอุปกรณ์ GPS และนาฬิกาสำหรับผู้ออกกำลังกาย, Da Vinci ผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์สัญชาติอเมริกัน, Dexcom ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจวัดระดับกลูโคสจากประเทศอเมริกา, NIKE ผู้ผลิตสินค้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของโลก ฯลฯ
จากการทดสอบ Model Portfolio จำลองของกองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO พบว่า แบบจำลองของกองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO ที่กระจายในธีมทั้ง 4 ให้ผลตอบแทน 23.88% ภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปีตั้งแต่จัดตั้งกองทุนหลักกองสุดท้ายถูกจัดตั้งในเดือน กันยายนปี 2016 ซึ่งเป็นผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI World Index มากถึง 9.25% (source: Bloomberg, data as of December 2018 – พอร์ตการลงทุนจำลองเป็นเพียงแบบจำลองการลงทุนโดยใช้ข้อมูลในอดีตในการคำนวณผลตอบแทน และผลตอบแทนดังกล่าวมิได้ยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต)
"กองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO เหมาะกับผู้ลงทุนในระยะกลางและระยะยาวที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านกองทุนรวม โดยเรามองว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลง ถือว่าจังหวะที่จะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก" นายวิน กล่าว
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล อินโนเวชั่น' หรือ CIMB-Principal Global Innovation Fund (CIMB-PRINCIPAL GINNO) เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 11 กุมภาพันธ์ – 15 กุมภาพันธ์ 2562 กำหนดวงเงินสั่งซื้อขั้นต่ำครั้งละ 5,000 บาท สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถขอหนังสือชี้ชวนได้ที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 website www.cimb-principal.co.th
SAPPE คว้า SET ESG Ratings 2025 ระดับ A ติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ตอกย้ำมาตรฐานธุรกิจยั่งยืนในทุกมิติ
TOA ยืนหนึ่ง! คว้าหุ้นยั่งยืน ระดับสูงสุด 'AAA' จากการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2568ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมสี - เคมีภัณฑ์ พร้อมยกระดับสู่มาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล
ILINK ยกระดับศักยภาพองค์กร คว้าคะแนน SET ESG Ratings ในระดับ AA ประจำปี 2568
MBK คว้าเรตติ้งระดับสูงสุด AAA หุ้นยั่งยืน SET ESG Rating 2025 ยกระดับการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน
กลุ่ม ปตท. และกลุ่มฯ โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท. เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ด้วยพลังงานที่ยั่งยืน และคาดการณ์ราคาน้ำมันปี 69
เมกาโฮม ปักหมุด "เวียงสระ" เสริมแกร่งเครือข่ายค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสู่ภาคใต้ตอนบน จุดเชื่อมใหม่เศรษฐกิจ-การค้า-คมนาคม-เกษตร เมืองสุราษฎร์ฯ
ยูกันดาชี้โอกาสทองแก่นักลงทุนไทย เปิด 4 อุตสาหกรรมเด่น พร้อมสิทธิประโยชน์การค้าและการลงทุนครบวงจร รุกตลาดแอฟริกา 500 ล้านคน
ปตท.สผ. คว้า 3 รางวัล จาก IAA Awards for Listed Companies 2025
NER คว้า 3 รางวัลใหญ่ IAA Awards 2025 Best CEO, Outstanding CFO - IR กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร