การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) "ยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืน"

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          "ยางพารา" ถือเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเนื้อที่ปลูกยางพาราประมาณ 23 ล้านไร่ ซึ่งสามารถผลิตยางธรรมชาติได้ 4.4 ล้านตันต่อปี โดยผลผลิตดังกล่าวได้สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านครัวเรือนเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 200,000 คน และในแต่ละปี "ยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาง" สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 400,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่า อุตสาหกรรมยางพารามีปัญหาหลายประการ ได้แก่ ยางพาราเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยยางพาราที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพียงแค่ 14% เท่านั้นส่วนที่เหลืออีก 86% ถูกส่งออกในรูปของยางที่เป็นวัตถุดิบ และด้วยเหตุที่โครงสร้างตลาดยางพาราเป็นแบบผู้ซื้อน้อยราย ในขณะที่มีผู้ขายจำนวนมาก ส่งผลทำให้ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าผู้ขาย ในขณะเดียวกันราคายางพาราที่ซื้อขายกันในตลาดโลกยังถูกกำหนดจากตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งกว่า 90% เป็นการเก็งกำไร ส่งผลทำให้ราคายางพารามีความผันผวนค่อนข้างมาก นอกจากนั้น ราคายางพารายังได้รับผลกระทบจากราคายางสังเคราะห์ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนยางธรรมชาติ โดยเมื่อราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของยางสังเคราะห์ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำทำให้ราคายางสังเคราะห์ปรับตัวลดลงตามไปด้วย ผู้ผลิตจึงหันไปใช้ยางสังเคราะห์แทนยางธรรมชาติเพื่อลดต้นทุน ซึ่งในท้ายที่สุดก็ส่งผลทำให้ราคายางธรรมชาติประสบกับภาวะตกต่ำ จนทำให้เกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อน และออกมาเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
          นอกจากปัญหาราคาตกต่ำแล้ว การผลิตยางพาราของไทยยังมีต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตป่าสงวน ทำให้ประเทศผู้ซื้อ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป และประเทศญี่ปุ่นกำหนดมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบของการออกมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรฐาน FSC (หรือ PEFC) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยตั้งเงื่อนไขว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์ไม้ยางพาราจากสวนยางที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันส่วนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้จำกัดอยู่แค่ไม้ยางพารา แต่หากเมื่อใดที่มาตรการดังกล่าวขยายผลไปถึงยางแปรรูป จะทำให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยได้รับผลกระทบทั้งระบบ และนอกจากนั้นปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานกรีดยาง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ ก็ถือว่าเป็นปัญหาท้าทายที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน
          นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) เป็นยุทธศาสตร์ที่จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรให้บรรลุผลตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปีที่จัดทำขึ้นนั้นมีเป้าหมายหลักๆ ที่ต้องการผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จอยู่ 5 เรื่อง คือ
          (1) ลดพื้นที่ปลูกยางลงจาก 23.3 ล้านไร่ ให้เหลือ 18.4 ล้านไร่
          (2) เพิ่มปริมาณผลผลิตยางจาก 224 กิโลกรัม/ไร่/ปี ให้เป็น 360 กิโลกรัม/ไร่/ปี
          (3) เพิ่มสัดส่วนการใช้ยางภายในประเทศจากร้อยละ 13.6 ให้เป็นร้อยละ 35
          (4) เพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางจาก 250,000 ให้เป็น 800,000 ล้านบาท/ปี
          (5) เพิ่มรายได้ในการทำสวนยางจาก 11,984 บาท/ไร่/ปีให้เป็น 19,800 บาท/ไร่/ปี

          ในการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น ยุทธศาสตร์นี้ได้วางกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ในช่วง 1-5 ปีแรก, ระยะปานกลาง ในช่วงปีที่ 6-10 และระยะยาว ปีที่ 11-20 โดยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ในช่วง 1-5 ปีแรกจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสวนยางที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน/อุทยานแห่งชาติ, การโค่นต้นยางเก่า และปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดี, การปรับปรุงแก้ไขมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา, การผลักดันการใช้ยางในหน่วยงานของรัฐ, การส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรฯ ปรับเปลี่ยนจากการผลิตยางแปรรูปขั้นต้นไปเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพารา, การจัดตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพาราในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ, การจัดงานแสดงสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ยางพารา และการจัด Road Show ในประเทศเป้าหมาย"
          สำหรับปีที่ 6-10 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการปรับปรุง/พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางพาราให้ได้มาตรฐาน มอก., การผลักดันรวมทั้งสร้างสิ่งจูงใจให้มีการนำเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ และต่อยอดในเชิงพาณิชย์, การจัดตั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าประเภทยางพาราในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมาย, การจัดทำตราสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพารา, การออกมาตรการด้านการเงินเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราเพิ่มขึ้น, การพัฒนาการซื้อขายยางพาราในรูปแบบของ "กองทุนอีทีเอฟยางพารา" และการพัฒนา "กองทุนรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง" ส่วนในปีที่ 11-20 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนาและจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับใช้ทดแทนแรงงานคนในสวนยางในระยะยาว, การจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จเกี่ยวกับยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา, การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากองค์ประกอบที่ไม่ใช่ยางในน้ำยาง และการจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการค้ายางและผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมาย
          สำหรับกลไกในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ จะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่เป็นประธาน และมีผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี ได้ผ่านความเห็นชอบจากทั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ยางพารา และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี" นายเยี่ยม กล่าวทิ้งท้าย
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) "ยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืน"
 
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) "ยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืน"
 
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) "ยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืน"
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) "ยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืน"

ข่าวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ+อุตสาหกรรมยางพาราวันนี้

เซ็นทรัลพัฒนา คว้ารางวัล Prime Minister Award 2025 'Innovation for Sustainability' ตอกย้ำผู้พัฒนา Centre of Life และผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมาย NET Zero 2050

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ตอกย้ำบทบาท Placemaker ผู้พัฒนา "ศูนย์กลางการใช้ชีวิตและชุมชน" ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน คว้ารางวัล Prime Minister Award 2025 ประเภท Innovation for Sustainability เวทีสูงสุดที่เชิดชูผู้ประกอบการและองค์กรผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมของประเทศสู่ความยั่งยืนจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

ตอกย้ำผู้นำ Sustainable Living ขับเคลื่อน... กลุ่มบริษัท "เสนา" ได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน "SET ESG Ratings ระดับ A" — ตอกย้ำผู้นำ Sustainable Living ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน กลุ่มบ...

พร้อมผลักดันยอดขายผู้ประกอบการ MSME ไทย เ... ช้อปปี้ฉลองครบรอบ 10 ปี ด้วยแคมเปญ 12.12 มอบความคุ้มค่ากว่า 3.2 หมื่นล้านบาทให้ผู้ใช้งาน — พร้อมผลักดันยอดขายผู้ประกอบการ MSME ไทย เติบโตมากกว่า 14 เท่า ผ...

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริก... เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดบ้านต้อนรับคณะ SME Development Center หอการค้าไทย — เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนและโลจิสติกส์ชั้นนำร...

อีซูซุประกาศความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ส... อีซูซุขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งออกรถจากฐานการผลิตไทยไปตลาดโลกครบ 3 ล้านคัน — อีซูซุประกาศความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ส่งท้ายปีด้วยยอดการส่งออกรถอีซูซุทั้งรถป...