SGP ลุยลงทุนคลังก๊าซต่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ต่อเนื่อง ชงจ่ายปันผลครึ่งปีหลังหุ้นละ 0.20 บาท เอาใจผู้ถือหุ้น หลังปี 61 มีกำไร 871 ล้านบาท

26 Feb 2019
SGP ตั้งเป้ารายได้-ปริมาณขาย LPG ปี 62 เติบโต 10% หรือประมาณ 3.8 ล้านตัน จากยอดขายต่างประเทศและตลาดเกิดใหม่เติบโตโดดเด่น เล็งลงทุนคลังก๊าซ LPG ในบังกลาเทศและอินโดนีเซีย พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่ต่อเนื่อง เผยผลประกอบการปี 61 มีกำไร 871 ล้านบาท และมีรายได้ 69,104 ล้านบาทโตขึ้นจากปีก่อน 16% ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.20 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายวันที่ 15 พ.ค. 2562
SGP ลุยลงทุนคลังก๊าซต่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ต่อเนื่อง ชงจ่ายปันผลครึ่งปีหลังหุ้นละ 0.20 บาท เอาใจผู้ถือหุ้น หลังปี 61 มีกำไร 871 ล้านบาท

นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ไว้ประมาณ 3.8 ล้านตัน หรือเติบโตขึ้นราว 10 % จากปีที่ผ่านมา และวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 75,000 ล้านบาท เป็นไปตามยอดขายต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการ LPG ในภูมิภาคเอเชียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูง โดยบริษัทจะเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ประเทศบังคลาเทศและเวียดนาม ขณะที่ราคาก๊าซ LPG ปี 62 คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน

"กลยุทธ์ปีนี้สยามแก๊สฯ ยังคงเน้นการขยายธุรกิจ LPG ในต่างประเทศที่ยังไม่ได้เข้าไปรุกตลาด และมีความต้องการใช้ LPG โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น พม่า อินเดีย และศรีลังกา เป็นต้น ด้วยโมเดลทางธุรกิจแบบในประเทศไทย ครอบคลุมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ ตั้งแต่การจัดหา จัดสรร นำเข้า การกระจายสินค้าโดยตรงไปยังโรงอัดบรรจุ สถานีบริการ และอุตสาหกรรม รวมถึงการขายส่งผ่านตัวแทนขายด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่มีรายได้สม่ำเสมอ อาทิเช่น โรงไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีผลกำไรที่มีความมั่นคงมากขึ้น" นายศุภชัย กล่าว

สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในประเทศต่างๆ บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในส่วนของคลังก๊าซแอลพีจีที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายไตรมาส 1/2562 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ตัน/เดือน และที่เมืองปีนัง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 สำหรับคลังก๊าซแอลพีจีในประเทศเมียนมานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1/2563 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 8,000-10,000 ตัน/เดือน

นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีความสนใจเข้าไปลงทุนคลังก๊าซ LPG ในประเทศบังคลาเทศเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการลงทุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2562 ปัจจุบันบริษัทมียอดขายแก๊สที่ขายเข้าไปในบังคลาเทศแล้ว ในลักษณะของการขายส่งเป็นลำเรือ โดยปี 62 นี้คาดว่ายอดขายจะอยู่ราว 30,000 - 40,000 ตัน/เดือน

ด้านความคืบหน้าการลงทุนสร้างคลังและโรงบรรจุก๊าซ LPG ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ขณะนี้ได้จัดตั้งบริษัทย่อย และดำเนินการจัดหาที่ดินเพื่อลงทุน คาดว่าจะได้ความชัดเจนได้ในปี 62

ส่วนการลงทุนคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และท่าเรือขนส่ง จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 155 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งบริษัทมีแผนขยายธุรกิจใหม่ในการขายส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้กับโรงไฟฟ้าในบริเวณเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยปัจจุบันกำลังพัฒนาพื้นที่ในบริเวณท่าเรือมาบตาพุด เพื่อเตรียมก่อสร้างท่าเทียบเรือ สถานี รับ จ่าย ที่สามารถรองรับปริมาณขายได้ปีละ 2 ล้านตัน คาดจะเริ่มเปิดดำเนินงานจริงในปี 2565

นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า 2 แห่งในประเทศเมียนมา มีขนาดกำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ และขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทั้งสองแห่ง โดยบริษัทเชื่อว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะช่วยให้ผลกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอและมั่นคง ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้สำหรับผลประกอบการในงวดปี 2561 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 871 ล้านบาท มีรายได้รวม 69,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 59,629 ล้านบาท เป็นผลมาจากที่บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นราว 7.6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปี 61 มียอดขาย 3.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.19 ล้านตันในปี 60

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการของ

ปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกงวดมกราคม – มิถุนายน 2561 ไปแล้ว หุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบครึ่งปีหลังงวดเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2561 หุ้นละ 0.20 บาท ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 7 มีนาคม 2562 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 พฤษภาคม 2562