"UPA" จ่อเพิ่มลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม เผยรับรู้รายได้โซลาร์สหกรณ์การเกษตรครบ3แห่งเดือนธ.ค.นี้ มั่นใจหนุนผลงานปี61-รอลุ้นเทิร์นอะราวด์

26 Dec 2018
UPA จับมือพันธมิตรเข้าศึกษาลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มฯในประเทศเพิ่มแบบเต็มพิกัด หวังสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่โซลาร์สหกรณ์การเกษตรทั้ง3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 7.95 เมกะวัตต์ทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายพย.-ธค.นี้ ฟาก " อุปกิต ปาจรียางกูร" ประธานกรรมการ เชื่อมั่นผลการดำเนินงานแนวโน้มเติบโตดีขึ้น เผยปีนี้มีลุ้นเทินอะราวด์จากขาดทุนในช่วงปีก่อน
"UPA" จ่อเพิ่มลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม เผยรับรู้รายได้โซลาร์สหกรณ์การเกษตรครบ3แห่งเดือนธ.ค.นี้ มั่นใจหนุนผลงานปี61-รอลุ้นเทิร์นอะราวด์

นายอุปกิต ปาจรียางกูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) เปิดเผยว่า บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนพลังงานทดแทนเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ขณะนี้ได้ส่งทีมงานเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเติมอีก 1 – 2 แห่งในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีความมั่นคงในระยะยาว รวมถึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการโซลาร์สหกรณ์การเกษตรทั้ง 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการสหกรณ์ผู้ผลิต และผู้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อ.กระแสสินธุ์ ,โครงการสหกรณ์การเกษตรวิเชียรบุรี และโครงการสหกรณ์การเกษตรกะทูน กำลังการผลิตรวม 7.95 เมกะวัตต์ จะเริ่มทยอย COD ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปีนี้

"เรามองหาโอกาสศึกษาธุรกิจพลังงาน ด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ส่วนจะเป็นที่ไหนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และจากการส่งทีมตรวจสอบ พบว่าปัจจุบันความต้องการด้านพลังงานทดแทนยังมีอีกมาก ส่วน การซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าขนาด 200เมกะวัตต์ในเมียนมา จากการลงทุนผ่าน "บริษัทเมียนมาร์ ยูพีเอ" (MUPA) ก็คาดว่าน่าจะได้รับอนุมัติจากกระทรวงไฟฟ้า และพลังงานของพม่า (MOEE) ในเร็วๆนี้ "

นายอุปกิต กล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ พบว่า มีสัญญาณที่ดี และมีแนวโน้มที่ผลประกอบการจะดีขึ้น จากที่เคยขาดทุน ซึ่งปัจจัยที่สนับสนุนเรื่องหลักๆ จะมาจากการทยอยรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ ในโครงการโรงไฟฟ้าโครงการสหกรณ์ฯ แม้จะเข้าไม่มาก แต่ในปีหน้าจะเห็นความชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้ง 3 โครงการมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 7.95 เมกะวัตต์ และมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าอยู่ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ประมาณ 48 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นเชื่อว่า จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่ดี มั่นคงระยะยาว โดยเฉพาะในปีนี้มีโอกาสได้ลุ้นเทิรน์อะราวด์จากที่เคยขาดทุนใน 2-3 ปีก่อนหน้า