บริษัทผู้ผลิตย้ายออกจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          จากการที่ค่าจ้างแรงงานในจีนปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทจำนวนมากที่ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเข้ามายังกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยิ่งทำให้มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่เตรียมย้ายที่ทำการออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของทั้งสองประเทศมหาอำนาจ รายงานการวิจัยล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล ระบุว่า เวียดนาม ไทย และมาเลเซียเป็นประเทศอาเซี่ยนที่มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงค์มากขึ้นจากสถานการณ์นี้
          ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้วมีมูลค่ารวม 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการที่มีบริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น
          รายงานวิจัยของเจแอลแอลระบุว่า เวียดนาม ไทย และมาเลเซียเป็นประเทศที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้นจากแนวโน้มของการที่มีบริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศในอาเซียน เนื่องจากเป็นตลาดแรงงานที่มีคุณภาพซึ่งมีค่าจ้างแรงงานอยู่ในเกณฑ์ที่แข่งขันได้ ตัวอย่างเช่น แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยและมาเลเซีย ปัจจุบันมีค่าจ้างถูกกว่าแรงงานในจีนราว 60% เทียบกับ 33% เมื่อปี 2553
          ทั้งนี้ จีนไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่มีการย้ายออกของบริษัทผู้ผลิต แต่ยังมีญี่ปุ่นและเกาหลีที่มีบริษัทต้องการย้ายหรือขยายฐานการผลิตเข้ามาในอาเซียนมากขึ้นด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ในกรณีของจีน มีแนวโน้มที่บริษัทจะย้ายออกมากกว่าซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
          นายทรัพยากร แสนสุขทวีทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายบริการอสังหาริมทรัพย์ในภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของเจแอลแอล กล่าวว่า "ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทำให้มีบริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากสงครามกำแพงภาษีระหว่างสองประเทศที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา"
          จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนแล้วรวมมูลค่าราว 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ แม้ผู้นำของทั้งสองประเทศจะมีพบปะเจรจากันในระหว่างการประชุมของกลุ่มประเทศจี 20 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงร่วมกันถึงแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการยุติสงครามการค้า

          โรงงาน/โกดังใน EEC มีความต้องการสูง
          นายทรัพยากรกล่าวว่า "การจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย หรือ EEC นับว่าเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะสม มีบริษัทต่างชาติจำนวนมากที่ให้ความสนใจ รวมถึงบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนด้วย"
          "มีบริษัทต่างชาติหลายบริษัทต้องการตั้งโรงงานหรือศูนย์โลจิสติกส์ใน EEC โดยพบว่า บางบริษัทกำลังหาซื้อที่ดินในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อสร้างสถานประกอบการ หลายบริษัทสนใจการเช่าโรงงาน/โกดังที่นักลงทุนหรือเจ้าของที่ดินยินดีสร้างขึ้นให้ตามข้อกำหนดความต้องการของผู้เช่า และมีอีกหลายบริษัทที่สนใจซื้อโรงงาน/โกดังใน EEC ที่เจ้าของเดิมประกาศเสนอขาย กรณีที่โรงงาน/โกดังนั้นๆ มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือใกล้เคียงมากพอที่จะสามารถปรับปรุงดัดแปลงให้เหมาะกับการดำเนินธุรกิจของตนได้ไม่ยากนัก"
          EEC ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วยฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ปัจจุบันเป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการมากที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่ได้รับการระบุว่าจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ ภาครัฐฯ ได้เสนอแรงจูงใจสำคัญหลายประการเพื่อดึงดูดการลงทุนสู่ EEC อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งสำหรับบางกิจกรรมอาจได้สิทธิ์นานสูงถึง 13 ปี การอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม และสิทธิ์การเช่าที่ดินราชพัสดุนานถึง 50 ปี และสามารถพิจารณาต่ออายุอีก 49 ปี
          "แม้หากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงยุติสงครามการค้าได้สำเร็จในอนาคต เชื่อว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะ EEC จะยังคงเป็นหนึ่งในฐานการผลิตที่บริษัทต่างๆ ให้ความสนใจมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากแรงจูงใจต่างๆ ที่มีเสนอให้นักลงทุน การมีแรงงานที่มีทักษะ ระบบสาธารณูปโภคที่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความได้เปรียบของไทยจากการตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" นายทรัพยากรกล่าวสรุป
          รายงายฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://www.jll.co.th/en/trends-and-insights/research/southeast-asia-2019-industrial
บริษัทผู้ผลิตย้ายออกจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
          เกี่ยวกับ JLL
          JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจบริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และบริหารการลงทุน โดยในปีที่ผ่านมา มีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศและมีพนักงานทั่วโลกรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 91,000 คน JLL เป็นชื่อแบรนด์และเครื่องหมายการค้าของบริษัทโจนส์ แลง ลาซาลล์ (Jones Lang LaSalle Incorporated)
          สำหรับในประเทศไทย JLL เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพนักงาน 1,600 คน มีอสังหาริมทรัพย์และสถานประกอบการภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 5 ล้านตารางเมตร JLL ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะรางวัลระดับห้าดาวในสาขาที่ปรึกษาและตัวแทนซื้อขายให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย จากการประกาศรางวัล International Property Awards Asia Pacific 2019/2020 นอกจากนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นของคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์โดยยูโรมันนีประจำปี 2561 JLL ได้รับการโหวตให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 8 และยังได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในสาขาบริการตัวแทนซื้อขายให้เช่า บริการงานวิจัย และบริการประเมินราคาทรัพย์สิน ต้องการข้อมูลเพิ่ม โปรดไปที่ www.jll.co.th

บริษัทผู้ผลิตย้ายออกจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
 
 

ข่าวอสังหาริมทรัพย์+สงครามการค้าวันนี้

เซ็นทรัลพัฒนา คว้ารางวัล Prime Minister Award 2025 'Innovation for Sustainability' ตอกย้ำผู้พัฒนา Centre of Life และผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมาย NET Zero 2050

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ตอกย้ำบทบาท Placemaker ผู้พัฒนา "ศูนย์กลางการใช้ชีวิตและชุมชน" ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน คว้ารางวัล Prime Minister Award 2025 ประเภท Innovation for Sustainability เวทีสูงสุดที่เชิดชูผู้ประกอบการและองค์กรผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมของประเทศสู่ความยั่งยืนจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

ตอกย้ำผู้นำ Sustainable Living ขับเคลื่อน... กลุ่มบริษัท "เสนา" ได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน "SET ESG Ratings ระดับ A" — ตอกย้ำผู้นำ Sustainable Living ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน กลุ่มบ...

บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ... TASCO คว้า SET ESG Ratings 2025 ระดับ "AA" — บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ได้รับการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2568...

A5 ปลื้ม โครงการ "CINQUI?M Krungthep Kree... A5 ปลื้ม "CINQUI?M Krungthep Kreetha" กวาดยอดขาย 50% ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดลักชัวรี — A5 ปลื้ม โครงการ "CINQUI?M Krungthep Kreetha" (แซงเคียม กรุงเทพกรีฑ...