แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ในการที่ SCCC จะสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินมาสู่ระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ภายในปี 2564 เนื่องจากผลการดำเนินการในต่างประเทศที่อ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฉพาะผลประกอบการในประเทศศรีลังกาและเวียดนาม อัตราส่วนหนี้สินของ SCCC เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2559 จากการเข้าซื้อกิจการต่างๆ หลายบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลดอัตราส่วนหนี้สิน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายลงทุนและการจ่ายเงินปันผล รวมถึงมีมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมามีเสถียรภาพได้ หาก SCCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด และทำให้ฟิทช์เชื่อมั่นว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) จะลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5 เท่า ภายในปี 2564 ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดได้หากการลดอัตราส่วนหนี้สินมีความล่าช้าออกไปอีก
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่ยังอยู่ในระดับสูง – ฟิทช์คาดว่า FFO adjusted net leverage ของ SCCC จะอยู่ในระดับที่สูงประมาณ 3.0-3.5 เท่า ณ สิ้นปี 2562-2563 (ณ สิ้นปี 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 3.7 เท่า) และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 การลดอัตราส่วนหนี้สินของ SCCC ขึ้นอยู่กับการเติบโตของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการควบคุมกระแสเงินสดจ่ายสำหรับการลงทุนและการก่อหนี้ของบริษัทฯ ให้อยู่ในระดับต่ำ
รายได้และกำไรที่เติบโต – ฟิทช์มองว่ารายได้ และ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ SCCC น่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตราประมาณร้อยละ 8-12 ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจในประเทศเป็นหลัก ฟิทช์คาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า ภายหลังจากที่มีสัญญาณการฟื้นตัวของการก่อสร้างในภาคเอกชน ได้แก่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยที่สร้างเพิ่มขึ้นตามแนวส่วนขยายรถไฟฟ้า และโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและวางแผนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึง โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่หลายโครงการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตัวเลขการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมีการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 3.7 ในไตรมาสสามของปี 2561 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบสิบไตรมาส และยังเติบโตต่อเนื่องที่อัตราร้อยละ 2.8 ในไตรมาสสี่ของปี 2561
ธุรกิจในต่างประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทาย – ฟิทช์มองว่าธุรกิจในภูมิภาคของ SCCC โดยเฉพาะประเทศศรีลังกาและเวียดนาม ต้องเผชิญความท้าทายมากกว่าที่ฟิทช์เคยคาด ความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศศรีลังกาน่าจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อรายได้และกำไรของบริษัทฯ ในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า อัตรากำไรของ SCCC ในประเทศเวียดนามลดลงในปี 2561 เป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามต้นทุนปูนเม็ดที่สูงขึ้นได้เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง ถึงแม้ฟิทช์จะมองว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในพื้นที่เวียดนามตอนใต้จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA margin) ของ SCCC ในตลาดนี้ก็น่าจะยังคงลดลงในปี 2562 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ SCCC มีกำลังการผลิตปูนเม็ดในเวียดนามไม่เพียงพอต่อการผลิตปูนซีเมนต์ ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบน่าจะสูงขึ้นจากสัดส่วนปูนเม็ดที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเมื่อยอดขายเติบโต
อัตราส่วนกำไรคงอยู่ในระดับเดิม – ฟิทช์คาดว่า EBITDA margin ของ SCCC จะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 20-21 ในปี 2562-2563 (2018: ร้อยละ 19.5) เนื่องจากอัตรากำไรจากธุรกิจในประเทศไทยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นน่าจะชดเชยกับอัตรากำไรจากธุรกิจในภูมิภาคที่มีแนวโน้มลดลง โดยฟิทช์คาดว่า EBITDA margin ของธุรกิจในประเทศไทย น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ ร้อยละ 22-23 หลังจากที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2559-2560 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 20 และร้อยละ 19 ตามลำดับ (จากเดิมร้อยละ 23 ในปี 2558) เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการปูนซีเมนต์จากภาคเอกชนซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการขายและราคาขายปูนซีเมนต์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายของสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรสูงอีกด้วย
การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดี – นอกเหนือจากประเทศศรีลังกาและเวียดนาม SCCC ยังมีการกระจายตัวของธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ในบังคลาเทศ และกัมพูชา (ผ่านกิจการร่วมค้า) อีกด้วย กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ภายนอกประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36 ของกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ทั้งหมดของ SCCC (ไม่รวมกิจการร่วมค้าในกัมพูชา) ในขณะที่รายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของรายได้ทั้งหมดในปี 2561 การกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้ในเชิงภูมิศาสตร์ของ SCCC จะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศเพียงตลาดเดียว และช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้การผลิตปูนซีเมนต์ในต่างประเทศยังสร้างอัตรากำไรที่สูงกว่าอัตรากำไรที่ได้จากการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยอีกด้วย
ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง – SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับร้อยละ 27-28 โดยวัดจากยอดขาย บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ในช่วงที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาด และมีการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศมากขึ้นในช่วงส่ามปีที่ผ่านมา โดยอาศัยชื่อเสียงของตราสินค้าของบริษัทฯ ความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้า และการเพิ่มสัดส่วนการขายให้กับภาครัฐซึ่งมีการเติบโต แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ SCCC ยังมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจในภูมิภาค โดยเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดและผู้ผลิตปูนเม็ดเพียงรายเดียวในประเทศศรีลังกา ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 35 และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเวียดนามใต้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 23
ผลการดำเนินงานมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน – EBITDA margin ของบริษัทฯ มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้าโดยทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ฟิทช์คาดว่าราคาถ่านหินโดยเฉลี่ยในปี 2562 จะลดลงจากฐานราคาที่สูงในปี 2561 ซึ่งเป็นเป็นการลดลงต่อเนื่องจากราคาที่ปรับลดลงตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2561 ทั้งนี้ SCCC ได้มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อประกันราคาถ่านหิน ในสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของความต้องการใช้ถ่านหินทั้งหมดในปี 2562
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
SCCC มีสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่าบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A+(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เช่นเดียวกัน ในด้านขนาดของธุรกิจ ด้วยฐานะผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และทางธุรกิจที่มากกว่า ทำให้ SCC มีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งกว่า SCCC และได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC หนึ่งอันดับ ความแตกต่างของอันดับเครดิตอาจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของ SCCC ในการลดอัตราส่วนหนี้สินในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวได้สะท้อนในแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกอาหาร ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตในระดับที่เท่ากับ SCCC CPALL มีขนาด EBITDA ที่มากกว่า SCCC มาก และมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า โดย CPALL เป็นผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อของประเทศไทย ดังนั้น CPALL จึงสามารถที่จะรองรับอัตราส่วนหนี้สินในระดับที่สูงกว่า SCCC ได้ในอันดับเครดิตที่เท่ากัน
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้จากธุรกิจในประเทศไทย เติบโตในอัตราร้อยละ 5 – 8 ต่อปี ในปี 2562-2563 และมีอัตราการเติบโตลดลงเหลือร้อยละ 2 – 5 ในปี 2564
- รายได้จากธุรกิจในประเทศศรีลังกา เติบโตในอัตราร้อยละ 5 – 10 ต่อปี ในปี 2562-2563 โดยส่วนหนึ่งมาจากการขยายกำลังการผลิต และมีอัตราการเติบโตลดลงเหลือร้อยละ 2 – 5 ในปี 2564
- รายได้จากธุรกิจในประเทศเวียดนาม เติบโตในอัตราร้อยละ 5 ในปี 2562 และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8 – 12 ต่อปี ในปี 2563-2564 โดยส่วนหนึ่งมาจากการขยายกำลังการผลิต
- EBITDA margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 20-21 ในปี 2562 – 2564
- ค่าใช้จ่ายลงทุนรวม 6.5 พันล้านบาท ในช่วงปี 2562 – 2564
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ในระดับร้อยละ 65-70
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมามีเสถียรภาพได้หาก SCCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่งกว่าที่คาด ซึ่งนำไปสู่การลดลงของ FFO adjusted net leverage มาอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่า ภายในปี 2564 (ตามตัวเลขประมาณการ)
ปัจจัยลบ:
- การที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการมีค่าใช้จ่ายลงทุนโดยใช้เงินกู้ในระดับสูง และการจ่ายเงินปันผลจำนวนมาก ส่งผลให้ FFO adjusted net leverage ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 (ตามตัวเลขประมาณการ)
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้: SCCC มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นับจาก สิ้นปี 2561 จำนวน 4.6 พันล้านบาท โดยร้อยละ 90 เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นและวงเงินหมุนเวียนที่ใช้สำหรับบริหารเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 2.6 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 และความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนมาชำระหนี้ โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และประวัติที่ดีในการเข้าถึงเงินทุนผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงิน
กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง LBM ในเครือปูนอินทรีเปิดวิสัยทัศน์ "Innovating Sustainable Building Solutions" ขับเคลื่อนแนวทางวัสดุก่อสร้าง ตอบโจทย์เทรนด์ก่อสร้างยุคใหม่สู่ความยั่งยืน
บริษัท คอนวูด จำกัด ภูมิใจคว้ารางวัล "อุตสาหกรรมสีเขียว" ระดับที่ 4 ปี 2568 จากกระทรวงอุตสาหกรรม
KKP ลงนามความร่วมมือกับ ปูนอินทรี และ เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ หนุนอสังหาฯ ไทย ลดการปล่อยคาร์บอน ปรับตัวสู่ความยั่งยืน
INSEE LBM เปิดตัวนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต ตอกย้ำแนวคิดความยั่งยืนในงาน "สถาปนิก'68"
พฤกษา ผนึก ปูนซีเมนต์นครหลวง ปลดล็อกนวัตกรรมก่อสร้างสีเขียว ตอบโจทย์บ้านคุณภาพยุคใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ความร่วมมือครั้งสำคัญ ปูนซีเมนต์นครหลวง ร่วมกับ เอสวีแอล กรุ๊ป ปิดดีลใหญ่ ขนส่งปูนซีเมนต์สู่ภาคใต้
ปูนซีเมนต์นครหลวง จับมือ เอสวีแอล กรุ๊ป ปิดดีลใหญ่ เสริมแกร่งโลจิสติกส์ ขนส่งปูนซีเมนต์สู่ภาคใต้
บี.กริม เพาเวอร์ ลงนาม MOU ปูนซีเมนต์นครหลวง ร่วมพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยพลังงานสะอาด
บมจ ปูนซีเมนต์นครหลวง ได้รับการรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ตอกย้ำบริษัทธรรมาภิบาลต้านทุจริตคอร์รัปชัน