นอกระบบประจำกรุงเทพมหานครและประจำจังหวัด พบว่า ประชาชนจำนวนมากยังคงมีความต้องการขอสินเชื่อ มากกว่า 50,000 บาท เพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น หรือใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ หรือใช้ชำระหนี้นอกระบบ ให้ครบถ้วน ดังนั้น การกำหนดวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ไว้เพียง 50,000 บาท อาจเป็นข้อจำกัดให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ตามความจำเป็นของตนแม้จะมีศักยภาพในการชำระหนี้คืนก็ตาม ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้กำหนดแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความต้องการทางการเงินของประชาชนผู้ใช้บริการ โดยได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางการปรับปรุงดังกล่าว ในคราวประชุมเมื่อวันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562 โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่จะปรับปรุง ดังนี้
1. วงเงินสินเชื่อ
ขยายเพดานวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จะสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชน จากเดิม 50,000 บาทต่อราย เป็น 100,000 บาทต่อราย
2. ทุนจดทะเบียน
2.1 ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 50,000 บาท ต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท
2.2 ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 100,000 บาท ต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
3. อัตราดอกเบี้ย รวมค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม
3.1 วงเงินสินเชื่อ 50,000 บาทแรก อาจเรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
3.2 วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกินกว่า 50,000 บาท อาจเรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 กระทรวงการคลังประเมินว่า การขยายวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในครั้งนี้จะครอบคลุมการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีหนี้นอกระบบ
ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 79 เป็นร้อยละ 92