มาตรการกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยปี 2562: ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกต่อตลาดที่มีแต่ความท้าทายรอบด้าน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

           แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ที่ผ่านมา เครื่องชี้อสังหาริมทรัพย์อย่างการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยยังสะท้อนภาพบวก ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการเร่งทำกิจกรรมการตลาดของผู้ประกอบการในการเร่งระบายที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอขายก่อนมาตรการ LTV จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 แต่สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยกำลังประสบภาวะชะลอตัวจากปัจจัยท้าทายหลายประการและมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงมากขึ้น เมื่อพิจารณายอดขายโครงการเปิดตัวใหม่ในหลายๆ โครงการเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการจะใช้ระยะเวลาในการปิดโครงการที่นานขึ้นกว่าที่ผ่านมา จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมอง ดังนี้ 
          - มาตรการภาคอสังหาริมทรัพย์: เป็นมาตรการเจาะจงเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกและแบ่งเบาภาระรายจ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง 
          มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพยที่อยู่อาศัยของกระทรวงการคลัง เป็นมาตรการที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง และเป็นผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกในระดับราคาที่ไม่สูง รวมถึงมาตรการเฉพาะที่ช่วยแบ่งเบาภาระรายจ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท (สอดคล้องไปกับโครงการบ้านล้านหลัง) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานตลาดค่อนข้างใหญ่ ทั้งนี้มาตรการฯ ดังกล่าวที่ออกมา มีความแตกต่างจากมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่อาจจะซื้อเกินกำลังความสามารถ (เช่น กลุ่มที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร/ลงทุน) และกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูง เพื่อเป็นการดูแลคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยและดูแลเสถียรภาพทางการเงินของระบบ
           สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ 1) มาตรการทางภาษี สำหรับกลุ่มผู้ซื้อที่เสียภาษี โดยเป็นการซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก เพื่อเป็นการซื้ออยู่อาศัยจริงในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถนำมาเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน – 31 ธันวาคม 2562
          และ 2) มาตรการช่วยบรรเทาภาระรายจ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย คือ มาตรการลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมการซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย ได้แก่ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อที่อยู่อาศัยให้เหลือ 0.01% จากอัตราปกติที่ 2.0% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ให้เหลือ 0.01% จากอัตราปกติที่ 1.0% ของมูลค่าจดจำนอง โดยผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจมีงบประมาณจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัย และมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น มาตรการนี้น่าจะช่วยในการแบ่งเบาภาระรายจ่ายในการทำธุรกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ระดับหนึ่ง ซึ่งภายใต้สมมติฐานกรณีที่ราคาที่อยู่อาศัย 1 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อที่อยู่อาศัยและค่าธรรมเนียมการจดจำนอง (คิดจำนวนเต็มที่ 1 ล้านบาท) ภายใต้มาตรการดังกล่าวนี้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะชำระค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงิน 200 บาท จากปกติที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 99.3 ของค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม (ไม่รวมอากรแสตมป์)           
          ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงนั้น ผู้ซื้อสามารถนำไปซื้อสินค้าตกแต่งที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อที่อยู่อาศัย ที่ประชาชนผู้เสียภาษีจะได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากมาตรการฯ ดังกล่าวนี้ จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินที่กำลังตัดสินใจจะซื้อที่อยู่อาศัย และกลุ่มที่กำลังจะโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาดังกล่าว 
          - แม้มาตรการกระตุ้นเศรษกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยจะเป็นผลดีต่อตลาด...แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2562 ตลาดยังมีปัจจัยท้าทายที่รออยู่ 
          ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 มาตรการ นี้ น่าจะเป็นผลดีต่อตลาด โดยนอกจากสำหรับผู้ซื้อดังที่กล่าวแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยรอขายสะสมและที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จในปีนี้ก็จะได้รับอานิสงส์ด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาที่อยู่อาศัยรอขายในตลาด พบว่า ที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 78% ของจำนวนที่อยู่อาศัยที่รอขายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล (กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 1 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 5% ของจำนวนที่อยู่อาศัยรอขายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล) 
          อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวมของทั้งปี 2562 เนื่องจากในช่วงที่เหลือของปี 2562 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้านที่อาจทำให้การเติบโตของความต้องการอสังหาริมทรัพย์อ่อนตัวลงกว่าในปีที่ผ่านมา ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อของผู้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ภาวะกำลังซื้อของครัวเรือนที่ฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง ท่ามกลางความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง-ล่างที่ลดลงจากภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยที่กำลังซื้อของผู้ซื้อไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตาม จำนวนที่อยู่อาศัยรอขายสะสมในตลาดยังทรงตัวในระดับสูง และมาตรการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยจาก ธปท. 
          ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กิจกรรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังและรอบคอบ แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบางรายจะมีการระบายที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอขายออกไประดับหนึ่งแล้ว แต่ยังมีจำนวนที่อยู่อาศัยรอขายที่กำลังก่อสร้างที่จะทยอยเข้าสู่ตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้คาดว่า โครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2562 นี้ น่าจะมีจำนวนประมาณ 110,000-115,000 หน่วย หดตัวประมาณ 5.2%-9.5% จากปี 2561 (ปรับอัตราการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขจริง ณ สิ้นปี 2561)
          ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งปี 2562 มีโอกาสที่จะหดตัวลง แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจะเติบโตประมาณ 13.6% (YoY) แต่คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลน่าจะกลับมาหดตัวลง ทำให้ทั้งปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลน่าจะหดตัวประมาณ 10.0%-13.9% (ปรับอัตราการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขจริง ณ สิ้นปี 2561) หรือมีจำนวนประมาณ 169,300-177,000 หน่วย อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในระยะข้างหน้า ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในระยะถัดไป
 

ข่าวตลาดอสังหาริมทรัพย์+ตลาดที่อยู่อาศัยวันนี้

"วีบียอนด์" จับมือ "BAM" ลงนาม MOU เดินหน้าขยายตลาดที่อยู่อาศัย พร้อมเปิดตัวโครงการ "บ้านสร้างตัว" เพิ่มโอกาสให้คนไทยมีบ้านทั่วประเทศ

จากความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังปรับตัวสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลง ทั้งในส่วนของอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดย ดร.วรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้มองเห็นโอกาสในการผลักดันโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจและสังคม โดยได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธาน

บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo... EnCo ชวนอัปเดตทิศทางอสังหาฯ ไทย ปี 2569 ในงานสัมมนา "Thailand's Real Estate Outlook 2026" ฟรี! — บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) ขอเชิญผู้สนใจเ...

ตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่ปี 2563 เป็น... ตลาดอสังหาฯ เผชิญปัจจัยท้าทาย "แสนสิริ" ยืนหยัดจ่ายเงินปันผลหุ้นต่อเนื่อง 10 ปี — ตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ได้รับปัจจัยกระทบที่หลากห...