เปิดข้อเท็จจริง!! เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน กับโอกาสเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดย นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมด

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          จากกรณีข่าว "อย.เรียกคืนเต้านมเทียมซิลิโคนนาเทรล (NATRELLE) เหตุพบเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง" ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในผู้ที่เคยทำการศัลยกรรม ซึ่งเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องนพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมด และผู้อำนวยการศูนย์สัลยกรรมความงาม รพ.บางมด จึงได้กล่าวสรุปข้อเท็จจริงในประเด็นการเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน กับ การเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด Breast Implant Associated - Anaplastic Large Cell Lymphoma (BIA-ALCL) ซึ่งได้อ้างอิงข้อมูลจาก Food and Drug Administration หรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Society of Plastic Surgery : ASPS) ไว้ดังนี้
          1. โรค Breast Implant Associated - Anaplastic Large Cell Lymphoma (BIA-ALCL) หรือ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเสริมหน้าอกด้วยเต้านมเทียม มักจะเกิดบริเวณรอบ ๆ ถุงซิลิโคน บริเวณต่อมน้ำเหลืองใกล้ ๆ เต้านม ไม่ได้เกิดบริเวณเต้านมโดยตรง มักจะไม่แพร่กระจายไปในบริเวณอื่น หากตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายจะมีสูง วิธีการรักษา คือ นำถุงเต้านมเทียมออก และเลาะตัวแคปซูล หรือ เยื่อหุ้มออกทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องตัดเนื้อเต้านมออก
          2. โรค BIA-ALCL เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีอุบัติการณ์ต่ำมาก ประมาณ 1:200,000 ราย (0.0003%) ซึ่งพบในผู้ที่เสริมเต้านมด้วยถุงซิลิโคน
          3. พบครั้งแรกประมาณ 20 ปีก่อน หากนับปริมาณการเสริมเต้านมทั่วโลกช่วง 20 ปีนี้ มีประมาณมากกว่า 10 ล้านคู่ จนถึงปัจจุบัน มีคนเป็นโรคนี้ ทั่วโลก 573 คน ในประเทศไทยมีเพียง 1 คน ซึ่งรักษาหายแล้ว
          4. ใน 573 คน ที่เป็นโรค BIA-ALCL ทั่วโลก พบว่ามีถึง 481คน ที่เสริมเต้านมด้วยถุงซิลิโคน ผิวขรุขระมาก(Macrotexture, Biocell) ของ Allergan / Natrelle ซึ่งคิดเป็น 83.9% จึงเป็นสาเหตุให้ FDA ระงับการใช้ผลิตภัณฑ์ในรุ่นนี้ และบริษัทรับคืนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัย
          5. ลักษณะผิวของซิลิโคน จะมีอยู่ 4 ผิว ได้แก่ ผิวเรียบ (Smooth) , ผิวทรายแบบละเอียด (Microtexture) , ผิวทรายแบบหยาบ (Macrotexture) และ Polyurethane
          5.1 ผิวเรียบ – ไม่มีโอกาสเกิดโรค BIA-ALCL
          5.2 ผิวทรายแบบละเอียด (Microtexture) – มีโอกาสเกิดโรค BIA-ALCL เท่ากับ 1 : 85,000
          5.3 ผิวทรายแบบหยาบ (Macrotexture) - มีโอกาสเกิดโรค BIA-ALCL เท่ากับ 1 : 3,200
          5.4 Polyurethane - มีโอกาสเกิดโรค BIA-ALCL เท่ากับ 1 : 2,800
          6. ควรสังเกตอาการ หากเกิดอาการบวม หรือเจ็บที่เต้านม หรือ มีก้อนที่เต้านม หรือรักแร้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด
          7. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นของโรค BIA-ALCL ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานได้ว่า มีความสัมพันธ์กับปัจจัยดังต่อไปนี้ 
          7.1 การเสริมด้วยซิลิโคนผิวทรายหยาบ (High Texture)
          7.2 มีการติดเชื้อ หรืออักเสบในบริเวณเต้านมเป็นระยะเวลานาน ๆ 
          7.3 ภูมิภาคอเมริกา และยุโรป มีโอกาสเกิดมากกว่า ทวีปเอเชีย จึงสันนิษฐานว่าเชื้อชาติ พันธุกรรม มีส่วนสำคัญทำให้เกิดโรคนี้
          7.4 ระยะเวลา โดยเฉลี่ย8ปีขึ้นไป
          8. สำหรับท่านที่เสริมซิลิโคนแล้ว ควรทำอย่างไร
          8.1 ไม่ต้องกังวล หรือตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากมีอุบัติการณ์น้อยมาก ๆ
          8.2 สำหรับโรค BIA-ALCLหากเป็นแล้ว สามารถรักษาหายได้ หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ 
          8.3 ถ้าไม่เกิดอาการผิดปกติใด ๆ ไม่แนะนำให้นำซิลิโคนออก
          9. ตาม recommendation ของ FDA แนะนำให้ผู้ที่เสริมเต้านมด้วยถุงซิลิโคน ควรตรวจ MRI หลังจากเสริมหน้าอกไปแล้ว 3 ปี หลังจากนั้นควรตรวจติดตามด้วย MRI ทุก ๆ 2 ปี
          10. ปกติเวลาตรวจมะเร็งเต้านมมักจะใช้การอัลตร้าซาวนด์ และ เมมโมแกรม เป็นหลัก แต่หากต้องการตรวจโรค BIA-ALCLควรตรวจด้วย MRI จะดีกว่า จะดูแคปซูล และต่อมน้ำเหลืองได้ดีกว่า
          11. สิ่งที่ควรถามสถานพยาบาล หรือ คลินิก ที่ท่านเสริมหน้าอก
          11.1 ถามสถานพยาบาลที่ท่านเสริมหน้าอกมาว่า "เสริมด้วยซิลิโคนผิวแบบไหน" 
          - ถ้าเป็นผิวเรียบ สบายใจได้ ไม่เกิดโรค BIA-ALCL
          - ถ้าเป็นผิวทรายแบบละเอียด ไม่ต้องกังวล เนื่องจากอุบัติการณ์ยังน้อยมาก
          - ถ้าเป็นผิวทรายแบบหยาบ หรือเป็นรุ่นที่ทาง FDA เรียกคืน ....ถ้าไม่มีอาการแสดงอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องนำถุงซิลิโคนออก แต่แนะนำให้เฝ้าระวังต่อเนื่อง เช่น การตรวจร่างกายด้วยตนเอง และพบแพทย์ประจำปี, การตรวจด้วย MRI ทุก ๆ 2 ปี , การทำแมมโมแกรม และอัลตร้าซาวนด์ 
          12. การปฏิบัติสำหรับแพทย์
          12.1 แนะนำให้แพทย์หยุดใช้ซิลิโคนผิวทรายแบบหยาบตามรุ่นที่ FDA/อย. เรียกคืน หากมีซิลิโคนค้างอยู่ใน Stock แนะนำให้คืนบริษัท
          12.2 แพทย์ควรแนะนำผู้ป่วยที่เสริมหน้าอกไปแล้ว 3 ปี ควรตรวจ MRI และหลังจากนั้นตรวจอย่างต่อเนื่องทุก 2 ปี
          12.3 สำหรับแพทย์ที่ตรวจพบว่า คนไข้มีอาการที่สงสัย เช่น มีอาการบวม แนะนำให้เอาน้ำเหลือง และแคปซูลที่อยู่รอบ ๆ นำไปตรวจอย่างละเอียด ว่าเป็นโรคBIA-ALCLหรือไม่ ถ้าไม่พบก็ไม่จำเป็นต้องนำซิลิโคนออก แต่หากพบเชื้อ จะต้องตรวจว่าเชื้อแพร่กระจายไปบริเวณอื่นหรือไม่ และก็นำถุงเต้านมออก เลาะเอาแคปซูลที่หุ้มซิลิโคนทั้งหมดออก
          13. กล่าวโดยสรุป ผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน ข้อมูล ณ ปัจจุบัน มีโอกาสเกิด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (BIA-ALCL) น้อยมากๆ จึงแนะนำให้สังเกตอาการ ตรวจคัดกรองตามปกติ หากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้นำถุงซิลิโคนออก อาการที่ควรสังเกตคือ ก้อนที่เต้านม/รักแร้, เต้านมบวม หรือ ปวด หากตรวจพบควรมาปรึกษาแพทย์
เปิดข้อเท็จจริง!! เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน กับโอกาสเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดย นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมด
 

ข่าวมะเร็งต่อมน้ำเหลือง+ธนัญชัย อัศดามงคลวันนี้

แพทย์แนะนวัตกรรมการรักษารับ "วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก" ด้วยยาพุ่งเป้ากลุ่มใหม่ เช่น Bi-specific antibody และเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด CAR-T Cell ความหวังใหม่ของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรม เสวนา ปาฏิหาริย์ เปลี่ยนมะเร็ง ให้เป็นสุข Miracle is all around ครั้งที่ 10 หรือ Miracle X เพื่อรณรงค์เนื่องใน "วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก" วันที่ 15 กันยายนของทุกปี ให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการรักษาแก่ผู้ป่วย การรักษาด้วย Targeted therapy กลุ่มใหม่ ๆ เช่น Bi-specific antibody และเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด CAR-T Cell ความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลุ่มที่ไม่สามารถทำ Stem cell transplantation มาจุดพลังใจไปกับอดีตผู้ป่วย "The X Fighters :

ชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยจั... เปิดประสบการณ์ผู้ป่วย 'สู้มะเร็งต่อมน้ำเหลือง' จนหายขาด เนื่องใน "วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก" — ชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยจัดเสวนา "ปาฏิหาริย์...