TNR โชว์ผลงาน Q4/62 เติบโตโดดเด่น หนุนกำไรสุทธิทั้งปี 133 ล้านบาท ชูพอร์ตรายได้ถุงยางอนามัย PLAYBOY และ ONETOUCHTM พุ่ง ดันอัตรากำไรขั้นต้น ชงบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.24 บาทต่อหุ้น

27 Feb 2020

บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ทำผลงานไตรมาส 4/2562 เด่นสุดในรอบปี กวาดรายได้จากการขายสินค้าของบริษัทฯ ในไตรมาสสุดท้าย 486 ล้านบาท เติบโต 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY หนุนภาพรวมปี 2562 มีรายได้จากการขาย 1,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% และกำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 133 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (OBM) เพิ่มขึ้นเป็น 27% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% ของรายได้จากการจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ส่งผลอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ชงบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตราหุ้นละ 0.24 บาท

TNR โชว์ผลงาน Q4/62 เติบโตโดดเด่น หนุนกำไรสุทธิทั้งปี 133 ล้านบาท ชูพอร์ตรายได้ถุงยางอนามัย PLAYBOY และ ONETOUCHTM พุ่ง ดันอัตรากำไรขั้นต้น ชงบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.24 บาทต่อหุ้น

นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2562 ของบริษัทฯ มียอดขายและกำไรโดดเด่นที่สุดในรอบปี โดยมีรายได้จากการขายสินค้าในไตรมาสสุดท้าย 486 ล้านบาท เติบโต 24% โดยทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 67 ล้านบาท เติบโต 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยมาจากการวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯหรือ Original Brand Manufacturer (OBM) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่ากลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต(OEM) และกลุ่มงานประมูล (Tender) โดยเฉพาะถุงยางอนามัยแบรนด์PLAYBOY ที่มียอดขายในไตรมาสสุดท้ายถึง 123 ล้านบาท หลังจากประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดและเพิ่มยอดขายในสหรัฐอเมริกาโดยสามารถเจาะช่องทางห้างค้าปลีกวอลล์มาร์ท และช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซชั้นนำamazon.com

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2562 ของบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า1,540 ล้านบาท เติบโต 8% เทียบกับปี 2561 มีรายได้จากการขาย 1,425 ล้านบาท(หลังจัดประเภทใหม่) ปัจจัยมาจากการวางกลยุทธ์ปรับสัดส่วนยอดขายจากแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าOBM ได้แก่ แบรนด์ PLAYBOY และแบรนด์ ONETOUCHTMที่มีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 27% เทียบกับปี2561 อยู่ที่ 14% ของรายได้จากการจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 26% จากปี 2561 อยู่ที่ 22%

ส่วนภาพรวมของกลุ่มบริษัทฯ กำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 100 ล้านบาท เทียบกับปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 274 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมกำไรพิเศษในปี 2561 ที่เกิดขึ้นจากการบันทึกส่วนต่างจากการซื้อธุรกิจบริษัท บ๊อก เอเชีย กรุ๊ปอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 173 ล้านบาท ถือว่าบริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิปี2562 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ท่ามกลางผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบปีที่ผ่านมาและความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลกจากปัจจัยสงครามการค้าเนื่องจากมีการติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดและทำประกันความเสี่ยงค่าเงินเพื่อลดผลกระทบ

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการปี2562 หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ในอัตราหุ้นละ 0.24 บาท รวมเป็นเงิน 72 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 มีนาคม 2563 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้จะเสนอที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี2563 เพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลต่อไป

“ในปี 2563 เรายังคงมุ่งเพิ่มยอดขายจากกลุ่มสินค้า OBMอย่างต่อเนื่อง โดยมีแบรนด์ ONETOUCHTM เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางเน้นทำตลาดในไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ส่วนแบรนด์ PLAYBOY วางตำแหน่งเป็นสินค้าโกลบอลแบรนด์เจาะตลาดกลางถึงบนจะรุกขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอเมริกา จีน อินเดีย ทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา”นายอมร กล่าว