L&E ปักธงรายได้ปี 63 เติบโต 15% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนส่งมอบสินค้าจากปีก่อนหน้ามาเป็นปีนี้ เมื่อรวมงานใหม่ที่ส่งไปประเทศอเมริกาซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปตัวเลขสั่งซื้อ เชื่อว่า รายได้จากการขาย รวมถึงเป้าการเติบโตในปี 63 อาจต้องปรับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ

19 Feb 2020
"ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์" วางเป้าหมายเติบโต 15% ในปี 63 พร้อมจับมือกับพันธมิตรจากจีน เดินหน้าดีลลูกค้าสหรัฐอเมริกาเสริมพอร์ต สนับสนุนรายได้ - กำไรปีนี้เติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ เน้นเรื่องคุณภาพ ต้นทุนการผลิต นำร่องร่วมกับพันธมิตรจีน เน้นเพิ่มการเติบโตด้าน Smart Devices และผลิตภัณฑ์ IoT สอดรับยุค Disruptive Technology เผยผลประกอบการปี 62 รายได้ 2,709 ลบ. กำไรสุทธิอยู่ที่ 72.2 ลบ. ด้านบอร์ดชงจ่ายปันผลหุ้นละ 0.14 บาท
L&E ปักธงรายได้ปี 63 เติบโต 15% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนส่งมอบสินค้าจากปีก่อนหน้ามาเป็นปีนี้ เมื่อรวมงานใหม่ที่ส่งไปประเทศอเมริกาซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปตัวเลขสั่งซื้อ เชื่อว่า รายได้จากการขาย รวมถึงเป้าการเติบโตในปี 63 อาจต้องปรับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ

นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่าแผนธุรกิจปี 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 2562 โดยมั่นใจว่าจะเป็นปีที่ดีของ L&E ผลจากการเลื่อนส่งมอบงานจากปีก่อนหน้ามาเป็นปีนี้ เช่น งานสนามบินสุวรรณภูมิอาคารเทียบเครื่องบินรอง และ งานโครงการรัฐสภา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีงานโครงการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ LED ของรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มโครงการการได้ในปีนี้ รวมทั้งงานของภาคเอกชนที่ยังคงมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในปีใหม่นี้ บริษัทฯ คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือกับพันธมิตรจากจีน ในการผลิตสินค้าเพื่อขายให้กับลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่าง และอุปกรณ์อัจฉริยะที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขายได้ในช่วงกลางปีนี้ และมีการรับรู้รายได้ในช่วงต้นไตรมาสที่ 3/2563 สนับสนุนให้บริษัทฯ มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นราว 100-150 ล้านบาทต่อเดือน เมื่อรวมรายได้ส่วนนี้และงานที่มีอยู่ในมือจากงานโครงการของภาครัฐบาลและเอกชนที่เริ่มขับเคลื่อนเดินหน้าต่อ จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

L&E ได้ดำเนินธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ มานานกว่า 17 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา โมเดลธุรกิจของบริษัทฯ จะเป็นการเน้นด้านดีมานด์ของธุรกิจ โดยใช้โมเดล "Total Lighting Solution Provider" ซึ่งหมายความว่าลูกค้าต้องการแสงสว่างประเภทใด เราก็จัดตอบสนองหาสินค้าที่เหมาะสมรวมถึงการออกแบบให้ แต่ในปี 2563 นี้ เราได้ขยายเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมา เพื่อเน้นด้าน Supply ของธุรกิจ โดยใช้โมเดล "Efficient Value Chain Management" โดยเน้นการลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต

สำหรับผลประกอบการงวดปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,709 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 214 ล้านบาท หรือลดลง 7% เป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง และการชะลอโครงการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของรัฐจากของเดิมมาเป็นผลิตภัณฑ์ LED เพื่อประหยัดพลังงาน รวมทั้งผลจากการเลื่อนส่งมอบงานโครงการบางส่วนไปรับรู้รายได้ในปี 2563 นอกจากนี้สงครามการค้าจีน-อเมริกาที่ยังคงยืดเยื้อออกไป ได้ส่งผลให้มีสินค้าจากจีนจำนวนมากทะลักเข้ามาในประเทศไทย ทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้นและราคาสินค้าปรับตัวลดลง และมีผลกระทบต่อรายได้ของงานขายส่ง/ขายปลีก ส่วนงานส่งออกไปต่างประเทศนั้นได้ปรับตัวลดลง เพราะประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง

บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด 72.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 44.7 ล้านบาท หรือลดลง 38% แต่ถ้าหักเงินตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่จำนวน 23.7 ล้านบาทแล้ว (6.3 ล้านบาท เป็นการปรับปรุงต้นทุนสินค้า และ 17.4 ล้านบาท เป็นการสำรองค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) กำไรสำหรับงวดจะลดลง 21.0 ล้านบาท หรือลดลง 18% เป็นผลจาก กำไรขั้นต้นรวมรายได้อื่นลดลง 22.0 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการเลื่อนส่งมอบงานโครงการบางส่วนออกไปรับรู้รายได้ในปี 2563 และการชะลอโครงการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของรัฐจากของเดิมมาเป็นผลิตภัณฑ์ LED เพื่อประหยัดพลังงาน รวมทั้งราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 10.8 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการปรับเงินเดือนประจำปี ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 11.6 ล้านบาท และส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบ 0.2 ล้านบาท

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แม้ผลประกอบการปี 2562 จะลดลง แต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นสมควรนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 พิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.14 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 5 พ.ค. 2563 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 พ.ค. 2563 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 28 เม.ย. 63 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว