นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของธนาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธนาคารและผู้ถือหุ้น โดยจะซื้อหุ้นของธนาคารคืนในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงสุดไม่เกิน 23.93 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 1% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในวงเงินไม่เกิน 4,600ล้านบาท ช่วงระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืน 10 วันทำการ ระหว่างวันที่ 14-27 กุมภาพันธ์ 2563 ราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร
ในช่วงนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธนาคารกสิกรไทยก็มีเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) สูงถึง 19.62% ซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และธุรกิจของธนาคาร มาตรฐาน BASEL 4 และปัจจัยที่อาจจะเป็นผลกระทบในอนาคต รวมทั้งธนาคารยังคงมีสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของธนาคารสูงถึง 299,217 ล้านบาท โดยโครงการซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์จะส่งผลให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และสามารถบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและเงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากธนาคารสามารถซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ตั้งไว้ จะทำให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินซื้อหุ้นคืนดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากมีการซื้อหุ้นคืนแล้ว ในอนาคตคณะกรรมการธนาคารอาจพิจารณาขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ภาวการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้น โดยจะพิจารณาวิธีการจำหน่ายหุ้นและแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ กำหนดระยะเวลาการขายหุ้นคืนจะทำหลังจากที่ซื้อหุ้นมาแล้ว 6 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
