สึนามิหนี้ครัวเรือน (ตอนที่ 1) : หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศไทยที่สูงถึง 70% ในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นจากเหตุการณ์ Covid-19 ที่ส่งผลกระทบและทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ มาลองดูว่าวิกฤตนี้จะมีผลกระทบมากขนาดไหน จากประมาณการหนี้ครัวเรือนและหนี้บุคคล NPL ในปี 2564 ที่มีโอกาสเกิดเป็น “สึนามีหนี้ครัวเรือน”
หัวข้อแบบนี้ไม่รู้จะน่ากลัวเกินไปหรือเปล่า แต่ก็เป็นความห่วงใยจริงๆ เพราะผลกระทบของ Covid-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยคาดว่าจะมีตามมาไม่ใช่น้อย แม้ว่ามิติการจัดการด้านสาธารณสุขของเราเพื่อรับมือโรคระบาดนี้จะทำได้ดีในอันดับต้นๆ ของโลก ลดความเสียหายด้านหนึ่ง แต่ก็ต้องเตรียมตัวจัดการอีกด้านหนึ่ง คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
ก่อนเกิดเหตุการณ์ Covid-19 สภาวะหนี้ครัวเรือนของไทยก็สูงอยู่แล้ว ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ณ สิ้นปี 2562 มีขนาดประมาณ 11 ล้านล้านบาท และมีขนาดของหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ประมาณ 70% หรือคิดเป็นมูลค่าได้ประมาณ 7 ล้านล้านบาท (ประมาณ 23 ล้านราย) ซึ่งหนี้ครัวเรือนนี้ แบ่งใหญ่ๆ ออกได้เป็น หนี้บุคคลที่มีหลักประกัน เช่น หนี้เงินกู้ซื้อบ้าน หนี้เช่าซื้อรถยนต์ เป็นต้น และหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต และหนี้เงินกู้เพื่อการบริโภคอื่นๆ เป็นต้น
จากข้อมูลและสมมติฐานของคลีนิคแก้หนี้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ประมาณการว่าปัจจุบันหนี้ NPL ของหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 8% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
หนี้ครัวเรือน NPL = 7 ล้านล้านบาท x 0.08 = 560,000 ล้านบาท
และคิดเป็นจำนวนลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL (ลูกหนี้บุคคล 1 ราย มีหนี้เฉลี่ย 300,000 บาท)
= 560,000 ล้านบาท / 300,000 บาท = 1.87 ล้านคน
ภาวะวิกฤติ Covid-19 เข้ามาซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย เพราะการควบคุมไม่ให้เกิดโรคระบาดทำให้ต้อง Lockdown เมืองและประเทศโดยใช้มาตรการต่างๆ ทำให้เกิดการหยุดชะงักในการทำธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยัง Supply chain ที่เกี่ยวข้องด้วย แต่ระดับของผลกระทบมีความรุนแรงมากน้อยต่างๆ กันไปแล้วแต่อุตสาหกรรม หลายอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตลง จึงตามมาด้วยการลดพนักงาน อัตราการว่างงานของแรงงานเริ่มสูงขึ้น ในภาพรวมประชาชนผู้มีรายได้น้อยต้องขอรับเงินเยียวยาพิเศษที่รัฐจัดให้
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ออกมาตรการผ่อนปรนการชำระหนี้แก่ลูกหนี้ซึ่งกำลังเดือดร้อนในภาวะการณ์ดังกล่าว แต่ก็เหมือนเป็น “การแช่เย็น” ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเอาไว้ก่อน ปัญหาจริงของลูกหนี้จะเกิดและเห็นได้จริง เมื่อมีการผ่อนคลายให้ระบบเศรษฐกิจกลับมาเดินได้ต่อ
แต่เราก็ต้องยอมรับว่า หากเศรษฐกิจกลับมาเดินได้ใหม่ อย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม เพราะยังต้องมีความระมัดระวังสูง ยังอยู่ในยุค Social distancing เนื่องจากวัคซีนรักษาโรคระบาด Covid-19 ยังไม่ออกมา ดังนั้นธุรกิจบริการซึ่งเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ อีกทั้งเหตุการณ์ Covid-19 นี้ ยังทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และของโลกโดยรวม เพราะต้องใช้ทรัพยากรและความมั่งคั่งที่มีไปจัดการสาธารณสุขภายใน ที่เป็นความเร่งด่วนก่อน ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อลดลง และส่งผลให้การส่งออกของไทยไม่สามารถขยายตัวอย่างที่ต้องการได้ ภาคการผลิตก็จะต้องลดการผลิตลง ส่งผลต่อเนื่องถึงการว่างงานตามมาในปี 2563 จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการพยากรณ์ว่า GDP ของไทยจะหดตัวลงไปอาจมากกว่า 5% ด้วยซ้ำ ทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งช่วยกันแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยกันใหม่
สิ่งที่ต้องยอมรับอย่าง “หน้าชื่น อกตรม” กันทุกคนก็คือ “สึนามิหนี้ครัวเรือน” น่าจะเกิดขึ้นแน่ ลองมาประมาณการกัน ผมคิดว่าช็อคครั้งนี้เป็นวิกฤติที่แรงพอสมควร ตัวเลขก็ต้องมีนัยสำคัญพอได้ แต่ผมก็ไม่ได้ทำการคำนวณวิลิศมาหราอะไร ใช้กฏง่ายๆ (Rule of thumb) นี่แหละคือตัวเลข 17% , 33%, 50% และ 67% เป็นตัวเลขใน 4 Scenarios หนี้ครัวเรือนหลังโควิด โดยหนี้ครัวเรือนที่โต 17% ถือว่าเบาสุด และ 67% ถือว่าหนักสุด ทั้งนี้กำหนดให้ GDP ในปี 2564 มีขนาด 10.45 ล้านล้านบาท (ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปี 2563)
จากภาพที่แสดงข้อมูลและสมมติฐานข้างต้น หากเกิดเหตุการณ์แรงที่สุดในกรณีที่ 4 ที่ให้หนี้ครัวเรือนเติบโตสูงสุด 67% มูลค่าหนี้ครัวเรือนจะเติบโตจาก 7 ล้านล้านบาทในปัจจุบันเป็น 12.20 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งอาจจะเติบโต ทั้งในส่วนของผู้เดือดร้อนขอกู้เพิ่ม และจากของลูกหนี้เดิมที่ชำระไม่ได้ หนี้จึงบวมขึ้นทั้งต้นและดอก ในขณะเดียวกันภายใต้สมมติฐานที่กำหนดคาดว่ามูลค่าของหนี้บุคคลที่เป็น NPL จะเพิ่มจาก 560,000 ล้านบาท ได้สูงสุดเป็น 1.63 ล้านล้านบาท ในกรณีที่ 4 หรือ NPL นี้จะเพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่า เช่นเดียวกับจำนวนลูกหนี้บุคคล NPL จะเพิ่มจาก 1.87 ล้านคน เป็น 5.43 ล้านคน กรณีผลกระทบรุนแรงที่สุด
ไม่ทราบตัวเลขขนาดนี้จะเรียกว่า “สึนามิหนี้ครัวเรือน” พอไหวไหม การมีหนี้ที่ชำระไม่ได้ ทำให้เกิดทุกข์ทั้งลูกหนี้ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน และผู้เกี่ยวข้องต่างๆ การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง Covid-19 นี้ อย่าลืมวางนโยบายและวิธีการแก้ปัญหา “สึนามิหนี้ครัวเรือน” ไว้ด้วยนะครับ ถ้าครัวเรือนเขาไม่มีทางออกหันไปเบี้ยวหนี้ ยอมล้มละลาย หรือหันไปกู้ตลาดการเงินนอกระบบ ปัญหามันจะยิ่งยุ่งและซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม ว่าแต่ว่า “ผู้เกี่ยวข้อง” ทั้งหลาย เห็นสัญญาณของสึนามินี้ไหมครับ
ติดตามบทความน่าสนใจเพิ่มเติมที่ "ห้องเรียนผู้ประกอบการ" www.set.or.th/enterprise
สอวช. ผลักดัน "Plant-Rich Diet" เมนูพืชนำ เพื่อโลกยั่งยืน เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ควบคู่กับการรักษ์โลก
ไชยชนก นำทัพ ดีอี จับมือ Google Cloud เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี
แวนทีฟผู้ผลิตน้ำยาล้างไต ครบรอบ 10 ปี พร้อมเดินหน้าลงทุน 170 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิต เพื่อผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทย
ด่วน! กกท.เผย วาระ "ต่อสัญญา MotoGP" 5 ปี! เข้าครม. เคาะ 4 พ.ย. นี้ ย้ำความคุ้มค่า-ราคาลิขสิทธิ์อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูง
นักวิชาการชี้ 'ศักยภาพ' ไทยพร้อมลุยเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก แต่ติดหล่ม 'ระบบ-พฤติกรรม'...ชู'EPR- PPP Plastics' กลไกขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย
กระทรวงอุตฯ ชูผลสำเร็จ 1 ทศวรรษ "Angel Fund" ดีพร้อม-เดลต้า ปั้น "ผู้ประกอบการอัจฉริยะ" 237 ราย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจทะลุ 1,000 ล้านบาท พร้อมรุก 3 กลยุทธ์ใหม่ ดันดีพเทคดาวรุ่งสู่ตลาดอุตสาหกรรม
EXIM BANK ได้รับการประกาศเกียรติคุณจาก Sustainism Initiatives บนเวทีสหประชาชาติ ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน
"สันติ ปิยะทัต" เดินหน้า "Quick Big Win" คุ้มครองผู้บริโภค ผนึกกำลัง 5 แพลตฟอร์มออนไลน์ สกัดบุหรี่ไฟฟ้า - ควมคุมร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาโครงการ "คนละครึ่งพลัส"
STARM คว้า "CGR 5 ดาว" ดีเลิศต่อเนื่องปีที่ 3 ตอกย้ำองค์กรธรรมาภิบาลแข็งแกร่ง