หุ้นเมกะเทรนด์โตเด่น คาดกำไร Q2 บวกเหนือ บจ.ไทย

13 Aug 2020

ทิสโก้เวลธ์ชี้กำไรไตรมาส 2 หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์เติบโตโดดเด่น คาดบวกสวนทาง บจ.ไทย แนะนักลงทุนใช้กองทุนหุ้นเมกะเทรนด์จัดพอร์ต แทนวิธีกระจายสินทรัพย์ลงทุนรายประเทศ

หุ้นเมกะเทรนด์โตเด่น คาดกำไร Q2 บวกเหนือ บจ.ไทย

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ในปีนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบราว 16% สาเหตุหลักเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของ COVID -19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะติดลบ 6.4% ซึ่งถือว่าติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง
จากปัจจัยลบดังกล่าวย่อมส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยนักวิเคราะห์จากบล.ทิสโก้ คาดว่า บริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/2563 จะมีกำไรประมาณ 99,759 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันหากดูตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ของโลก เช่น กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลับเติบโตสวนทาง โดยนักวิเคราะห์จาก Factset คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 2/2563 จะเติบโตได้ 11%

สำหรับตัวอย่างบริษัทกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราการเติบโตดีอย่างโดดเด่น เช่น บริษัท Shopifyผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์มสำหรับสร้างร้านค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการมีหน้าร้าน สามารถสร้างหน้าร้านขายสินค้าออนไลน์ได้เอง ในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 714.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นกว่า 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรเติบโตถึง 650% YoY ซึ่งเป็นการเติบโตในช่วงที่มีมาตรการ Lockdown ทำให้คนออกจากบ้านไปซื้อสินค้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยมีร้านค้าเปิดใหม่ (New Stores) ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านแพลทฟอร์มของ Shopify เพิ่มขึ้นถึง 71% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)

อีกตัวอย่างที่เติบโตชัดเจนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 คือ บริษัท Etsy ผู้ประกอบธุรกิจสื่อกลางในการซื้อ และขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ (Marketplace) ในสหรัฐฯ และยุโรป เน้นขายสินค้าออนไลน์ที่เป็นงานทำมือ (Handmade) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของเล่นและอื่นๆ กว่า 66 ล้านรายการ มียอดขายไตรมาส 2/2563 กว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเติบโตกว่า 147% YoY และมีผู้ซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหว (Active Buyers) อยู่ที่ 60 ล้านรายเพิ่มขึ้น 41% YoY โดยเป็นผู้ซื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 11.5 ล้านราย ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตสูงถึง 435% YoY

นอกจากนี้ บริษัทที่อยู่ในกลุ่มดิจิตอลเฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ก็เติบโตได้ดีไม่แพ้กัน โดยบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น บริษัท Teladoc ผู้นำด้านธุรกิจ Telemedicine ที่เข้ามาช่วยเชื่อมโยงระหว่างคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านโทรศัพท์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในชื่อ “Telehealth” เพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ทั่วโลก ในไตรมาสที่ 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการปรึกษาแพทย์ในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดเพิ่มขึ้นสูง อีกตัวอย่างคือ บริษัท Dexcom ผู้คิดค้นพัฒนาและผลิตเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยไม่ต้องเจาะเลือดแบบเดิมๆ โดยในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 451 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรเติบโตกว่า 887% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 20%

นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเมกะเทรนด์ หนุนให้ราคาหุ้น และราคาหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้เติบโตดีอย่างมาก โดยกองทุน Amplify Online Retail ETF (IBUY:US) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ธุรกิจมีรายได้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 79% ขณะที่กองทุน Credit Suisse Lux Digital Health Equity Fund (CSGDIBU:LX) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 42%
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์มีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่นท่ามกลางเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นไทย ดังนั้น ทิสโก้เวลธ์จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกกองทุนหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์มาเป็นสัดส่วนหลักของการจัดพอร์ตการลงทุน แทนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นไทย และแทนการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รายประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลง และยังเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูง ตามศักยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่จะโตต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อยครั้ง

“แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยจะปรับลงมามากแล้ว แต่ทิสโก้เวลธ์ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เพราะปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาด COVID-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยใช้เวลานานในการฟื้นตัว โดยเฉพาะการที่ไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตที่ดี น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในยามที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว แต่ควรพิจารณาถึงรายละเอียดของกองทุนอย่างถี่ถ้วน เพราะไม่ใช่ทุกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการลงทุนที่ธนาคารทิสโก้ได้ทุกสาขา” นายณัฐกฤติกล่าว