โรงงานหน้ากากอนามัยซีพี-รพ.จุฬาลงกรณ์ เปิดบ้านต้อนรับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชมกระบวนการผลิตหน้ากากอนามัยคุณภาพมาตรฐานสากล แจกจ่ายโดยโรงพยาบาลจุฬา เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่ขาดโอกาส ย้ำชัดเป็นธุรกิจเพื่อสังคมกำไรทั้งหมด ยกให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
 
                                                                                                                                        ในช่วงมกราคม 2563 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ทำให้เกิดความวิตกของสังคม จากการแพร่ระบาด และการสวมใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ โดยในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ และมีนาคม ประเทศไทยประสบปัญหาหน้ากากอนามัยในประเทศขาดแคลนอย่างหนัก รวมถึงวัตถุดิบในการผลิต เช่น วัสดุกรองชั้นในเมลต์โบลน(Melt-blown) มีราคาสูงขึ้นไปหลายสิบเท่า โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ประเทศไทยมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตามข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เพียง 9 โรงงานทั่วประเทศทำให้ไม่เพียงพอ เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น ทุกประเทศในโลกก็มีปัญหาคล้ายกัน ทุกประเทศมีความต้องการหน้ากากอนามัย จึงทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาดอย่างรุนแรง
ต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม 2563 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงมีเจตนารมณ์ ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในการเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย โดยซีพีสร้างโรงงาน และทำหน้าที่ผลิตหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตามคำสั่งการผลิตจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ เพราะการจะรู้ว่า บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนเท่าใดนั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯจะทราบความต้องการมากกว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ ดังนั้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯจะเป็นผู้กำหนดจำนวนการผลิต เพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ขาดโอกาสการเข้าถึง และนำไปส่งยังโรงพยาบาลกว่า 1,000 แห่งในช่วงวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย ปัจจุบันปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยบรรเทาลงไปมาก โดยก้าวต่อไป โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีเจตนารมย์ให้โรงงานหน้ากากอนามัยเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งเครือซีพีได้ขานรับนโยบายและโดยทุกปี โรงงานหน้ากากอนามัยจะยกกำไรทั้งหมดยกให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อสร้างประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้กับประเทศชาติ และคนไทยอย่างยั่งยืน
ในวันที่ 19 มกราคม 2564 คณะผู้บริหารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นำโดยนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมโรงงานหน้ากากอนามัยของบริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด วิสาหกิจเพื่อสังคมในเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติขาดแคลนหน้ากากอนามัยในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563
ทั้งนี้ภายหลังการเยี่ยมชมโรงงานหน้ากากอนามัยซีพี นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้กล่าวว่า ขอชื่นชมซีพีที่เข้ามาสร้างโรงงานเพื่อผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในช่วงที่ประเทศไทยมีวิกฤตโควิด-19 รุนแรงตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ แต่สามารถเร่งดำเนินการจนสร้างโรงงานเสร็จใน 5 สัปดาห์ เพื่อเร่งผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงมาช่วยสนับสนุนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ขณะนั้นกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศขาดแคลน ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายซีพีทำเพื่อการแพทย์ และทำเพื่อสาธารณะ โดยมีการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบันจนสถานการณ์หน้ากากอนามัยขณะนี้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าหน้ากากอนามัยของซีพีที่ผลิตโดยบริษัทซีพี โซเชียล อิมแพคท์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยที่จำหน่ายเกินราคาในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งนี้เพราะผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ของซีพีส่งมอบให้โรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทยแจกจ่าย
นายภูมิชัย ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงงานหน้ากากอนามัยซีพี เปิดเผยว่า ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมโรงงานหน้ากากอนามัยซีพี ทั้งนี้นับตั้งแต่เกิดวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัยใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ ซึ่งเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมของเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้เร่งสร้างโรงงานเพื่อผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จะเป็นผู้กำหนด ผู้รับ และสถานที่ รวมถึงความต้องการในการแจกจ่าย ตามความต้องการ เพื่อแจกฟรีให้แก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนประชาชนกลุ่มผู้เปราะบางตามเจตนารมย์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยโรงงานหน้ากากอนามัยตั้งอยู่ที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างเสร็จภายใน 5 สัปดาห์ ผลิตและแจกจ่ายตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นต้นมา โดยบริจาคหน้ากากที่ผลิตให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นผู้พิจารณาและนำไปแจกจ่ายฟรีแก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนประชาชนกลุ่มผู้เปราะบาง จนถึงสิ้นปี 2563 ได้ผลิตและแจกจ่ายไปแล้วกว่า 11 ล้านชิ้นมอบให้แก่โรงพยาบาล องค์กรการกุศล และ มูลนิธิ ทั่วประเทศไทยกว่า 1,000 แห่ง สมดังความตั้งใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่ต้องการบริจาคหน้ากากอนามัยเพื่อสาธารณกุศลในช่วงที่เกิดภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย จนถึงปัจจุบันสถานการณ์หน้ากากอนามัยกลับสู่ภาวะปกติ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยได้อย่างทั่วถึง
ปัจจุบัน การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฯ ได้แจกจ่ายไปแล้วกว่า 11 ล้านชิ้น โดยระยะแรก เริ่มตั้งแต่ 16 เมษายน 2563 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯได้มุ่งเน้นแจกจ่ายแก่แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และโรงพยาบาล เป็นลำดับแรก ทำให้โรงงานต้องผลิตในกำลังการผลิตสูงสุด ทำงาน24 ชั่วโมง ภายใต้ความยากลำบากในการหาวัตถุดิบที่ขาดแคลนทั่วโลก เนื่องจากในช่วงเวลานั้นหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลน ทำให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภารกิจของภาครัฐในการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นหน้าด่านในการต่อสู้กับโควิด-19
ระยะที่ 2 ระยะขยายการแจกจ่ายจากบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่ประชาชนกลุ่มเปราะบางตั้งแต่ 1 มิถุนายน - 31 กรกฎาคม 2563 แจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล จำนวน 4 ล้านชิ้น และบางส่วนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางผ่านเครือข่ายกาชาด จำนวน 1 ล้านชิ้น รวมทั้ง 2 ระยะเป็น 8 ล้านชิ้น จากนั้นได้เข้าสู่ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2563 เนื่องจากมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก และ เมื่อสำรวจความต้องการในตลาด และปริมาณการผลิตในประเทศ เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ จึงมีเจตนารมย์ ให้โรงงาน ผลิตหน้ากากอนามัยปรับกระบวนการผลิตกลับมาอยู่กำลังการผลิตปกติ โดยสำรองหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯเดือนละประมาณ 300,000 ชิ้น และ เพื่อให้เกิดรายได้นำมาใช้ในการดำเนินโรงงานอย่างยั่งยืน บริษัทในเครือ สามารถลงงบประมาณให้กับโรงงานผลิตหน้ากากเพื่อผลิตและซื้อหน้ากากอนามัยไปบริจาคและแจกจ่ายเพิ่มเติม โดยจัดสรรกำไรทั้งหมดจากการดำเนินกิจการโรงงานหน้ากากอนามัยในทุกปีการผลิตแก่หน่วยงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ดังนี้ ศูนย์โรคหัวใจ 30% โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ 30% คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 30% และสภากาชาดไทย 10% ทั้งนี้ปัจจุบันซีพี โซเชียล อิมแพคท์ ยังไม่มีการจำหนายให้กับบุคคลภายนอก รวมถึงไม่ได้จำหน่ายในร้าน 7 อีเลฟเว่น แต่อย่างใด
นายศักดิ์ชัย บัวมูล ผู้รับผิดชอบด้านวิศวกรรมและการออกแบบกระบวนการผลิต โรงงานหน้ากากอนามัยซีพี กล่าวว่า โรงงานหน้ากากอนามัยซีพีใช้เวลาก่อสร้างด้วยความรวดเร็วภายใน 5 สัปดาห์เพื่อเร่งบรรเทาวิกฤตการขาดแคลนหน้ากากอนามัย โดยให้ความสำคัญและมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพและมาตรฐานการผลิตตั้งแต่การออกแบบห้องคลีน รูม (Clean Room) โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตและเชื่อมต่อกับระบบเอไอที่ได้รับความร่วมมือจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพการผลิตและการบรรจุ ซึ่งในทุกขั้นตอนเชื่อมต่อเป็นระบบอัตโนมัติและใช้กำลังคนน้อยที่สุดเพื่อให้หน้ากากอนามัยที่ผลิตปลอดเชื้อเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ตลอดจนกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามการผลิตหน้ากากอนามัยของโรงงานตลอดเวลาเนื่องจากหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม
หน้ากากอนามัยซีพีที่ผลิตเป็นหน้ากากอนามัยที่เรียกว่า Surgical Mask จัดอยู่ในกลุ่มของอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางการแพทย์ โดยหน้ากากอนามัยซีพี ประกอบด้วย 3 ชั้น ชั้นแรก เป็นนอนวูฟเวนชนิดสปันบอนด์ (สีเขียว) เคลือบสารไฮโดรโฟบิก ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันน้ำ ชั้นต่อมา เป็นนอนวูฟเวนชนิดเมลต์โบลน (สีขาว) ใช้ป้องกันเชื้อโรค และชั้นสุดท้าย เป็นนอนวูฟเวนชนิดสปันบอนด์ (สีขาว) โดยวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตล้วนมีคุณภาพได้มาตรฐาน อาทิ นอนวูฟเวนชนิดเมลต์โบลน (meltblown nonwoven) ซึ่งเป็นแผ่นป้องกันเชื้อโรค ได้คัดเลือกวัตถุดิบเกรด A ที่ได้มาตรฐานระดับโลก มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย(BFE) > 99% รวมถึงกรองฝุ่นอนุภาคขนาดเล็ก 0.1 ไมครอน(PFE)เฉลี่ย > 99.9% และได้รับใบรับรองคุณภาพจาก Nelson Labs องค์กรมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมั่นใจได้ว่าหน้ากากอนามัยซีพีมีคุณภาพและได้มาตรฐานในระดับสูงรายหนึ่งของเมืองไทย
 
                             สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 5 นครราชสีมา จัดประชุมขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนของจังหวัดนครราชสีมา ที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ
                            สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 5 นครราชสีมา จัดประชุมขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนของจังหวัดนครราชสีมา ที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ
                         การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินและยูนิเซฟเพื่อส่งเสริมการปกป้องสิทธิเด็ก
                            การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินและยูนิเซฟเพื่อส่งเสริมการปกป้องสิทธิเด็ก
                         สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพังงา จับมือ อบจ.พังงา เดินหน้าสานฝันเพิ่มทักษะด้านอาชีพให้นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบภาคบังคับ ให้มีอาชีพ มีงานทำ
                            สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพังงา จับมือ อบจ.พังงา เดินหน้าสานฝันเพิ่มทักษะด้านอาชีพให้นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบภาคบังคับ ให้มีอาชีพ มีงานทำ
                         สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานลำพูน ได้รับการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคจาก บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)และบริษัทไทยนิจิ อินดัสทรี จำกัด สำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรม
                            สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานลำพูน ได้รับการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคจาก บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)และบริษัทไทยนิจิ อินดัสทรี จำกัด สำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรม
                         "เส้นหมี่อบแห้งไวไว" ร่วมสนับสนุน โครงการ "เพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนครอบครัวยากจน ที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ"
                            "เส้นหมี่อบแห้งไวไว" ร่วมสนับสนุน โครงการ "เพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนครอบครัวยากจน ที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ"
                         ก.แรงงาน ร่วมสานฝันปั้นเด็กยากจนสู่ช่างฝีมือ
                            ก.แรงงาน ร่วมสานฝันปั้นเด็กยากจนสู่ช่างฝีมือ
                         จังหวัดลำพูน เตรียมความพร้อมการเพิ่มทักษะด้านอาชีพให้กับนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับแล้วไม่ได้เรียนต่อ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้
                            จังหวัดลำพูน เตรียมความพร้อมการเพิ่มทักษะด้านอาชีพให้กับนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับแล้วไม่ได้เรียนต่อ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้
                         ผู้ตรวจการแผ่นดินออกหน่วยบริการประชาชนให้ความรู้ด้านกฎหมาย
                            ผู้ตรวจการแผ่นดินออกหน่วยบริการประชาชนให้ความรู้ด้านกฎหมาย