การขับรถบนเส้นทางออฟโรดสุดโหดต้องใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการเดินทาง นักขับบางคนจึงอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าตนเองพร้อมสำหรับการขับรถออกนอกเส้นทางอันสะดวกสบายและทางเรียบที่คุ้นเคย แม้จะมีรถที่ขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ในครอบครองแล้วก็ตาม
กุญแจสำคัญในการปลดล็อกประสบการณ์การขับขี่ออฟโรด พร้อมตะลุยในสภาพแวดล้อมสมบุกสมบันอย่างปลอดภัยคือการเตรียมตัวและความเข้าใจในยานพาหนะและศักยภาพของยานพาหนะอย่างถ่องแท้ โดยรถกระบะอย่างเช่น ฟอร์ด เรนเจอร์ ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงการใช้งานบนเส้นทางออฟโรดเป็นสำคัญ ด้วยความสูงจากพื้นถนน และมุมเงย มุมจาก ที่ออกแบบมาให้เอื้ออำนวยต่อการตะลุยผ่านสิ่งกีดขวาง รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันทรงพลัง พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกด้าน
ด้วยคุณสมบัติข้างต้นประกอบกับสมรรถนะที่จะช่วยให้คุณบรรทุก ลากจูง หรือขับรถออกผจญภัยบนเส้นทางสุดโหด จึงทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ กลายเป็นเพื่อนคู่ใจของคอออฟโรดให้บุกตะลุยไปทุกที่ได้อย่างสนุกสนานและมั่นใจ
"การขับรถบนเส้นทางออฟโรดเป็นการเปิดประสบการณ์ให้เราได้ค้นพบสิ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน" คุณนิดา ชัชวรัตน์ ผู้จัดการแบรนด์รถกระบะ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว "เมื่อมีรถกระบะอย่างฟอร์ด เรนเจอร์ ที่พร้อมตะลุยไปกับเราได้ในทุกเส้นทางแล้ว เราก็พร้อมเดินทางสร้างประสบการณ์ใหม่ๆได้อย่างสะดวกสบายและมั่นใจมากขึ้น"
สำหรับผู้ที่เพิ่งเป็นเจ้าของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ การทำความเข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรใช้อัตราทดความเร็วสูงหรือต่ำ หรือการทำความรู้จักระบบล็อกเฟืองท้ายว่ามีวิธีการใช้งานอย่างไรนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ฟอร์ดจึงขอแบ่งปันเคล็ด (ไม่) ลับง่าย ๆ 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณดึงศักยภาพของฟอร์ด เรนเจอร์ ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในการขับขี่แบบออฟโรด
เมื่ออยู่ในระบบ 2H รถจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลังเท่านั้น ซึ่งถือเป็นโหมดการขับเคลื่อนปกติบนพื้นผิวเรียบ แต่เมื่อขับบนเส้นทางลูกรัง หรือบนพื้นผิวถนนที่ลื่น เช่นหลังฝนตก การเลือกระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อจะช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังมาพร้อมระบบ Shift on the fly ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากแบบสองล้อ (2H) เป็น 4H ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ขับขี่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ระบบเกียร์แบบ 4L จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้รถค่อยๆ ขับเคลื่อนผ่านพื้นผิวขรุขระได้ดีกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ต่ำที่ช่วยเพิ่มกำลังและแรงบิดมากขึ้น
ในการเลือกระบบ 4L ให้จอดรถนิ่งสนิทแล้วขึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ N ก่อน จากนั้นจึงหมุนปุ่มเพื่อเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระปุกเกียร์ (สัญลักษณ์ 2H, 4H และ 4L) เมื่อมีไฟสัญญาณ 4L ขึ้นที่หน้าปัดควบคุมหลังพวงมาลัยแล้ว จึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วออกรถอย่างช้าๆ
แต่เมื่อขับบนทางออฟโรด เฟืองท้ายทั่วไปอาจเป็นปัญหาในการขับขึ้นเนินหรือข้ามสิ่งกีดขวาง เนื่องจากเมื่อล้อยกลอยจากพื้นแล้ว เฟืองท้ายจะให้ความสำคัญกับล้อที่ลอยอยู่ ทำให้ล้อนั้นหมุนไปเรื่อยๆ อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนล้อที่อยู่บนพื้นก็ไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้
ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock ของฟอร์ด เรนเจอร์ คือตัวช่วยล็อคล้อหลังทั้งสองด้านให้ได้รับแรงขับเคลื่อนเท่ากัน ดังนั้น เมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยอยู่ ล้ออีกข้างจะยังช่วยขับเคลื่อนให้รถเดินหน้าต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายอาจไม่เหมาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อต้องใช้วงเลี้ยวแคบๆ หรือเมื่อทั้งสี่ล้อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน รวมถึงการขับด้วยความเร็วสูงขึ้น และเมื่อขับบนทางลาดเอียง
จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นจากแป้นเบรก ปล่อยให้รถคลานลงเนินช้าๆ แล้วเน้นใช้พวงมาลัยควบคุมทิศทางของรถ หากต้องการปรับความเร็ว ให้ใช้ปุ่ม Cruise Control (+/-) เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว โดยระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันจะเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก ที่ความเร็ว 5-32 กม. ต่อ ชม.
หากคุณมีแผนจะปล่อยลมยางเพื่อขับบนเส้นทางออฟโรด อย่าลืมนำเครื่องเติมลมยางติดไปด้วยเพื่อเติมลมยางก่อนกลับมาขับบนถนนทางเรียบ การขับรถบนทางเรียบด้วยลมยางต่ำจะทำให้ควบคุมรถได้ยากทำให้ไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังลดอายุการใช้งานของยางและส่งผลต่ออัตราการประหยัดน้ำมันอีกด้วย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit