บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ที่ 'A-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
การคงอันดับเครดิต และแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าผลการดำเนินงานของ KCE จะยังคงแข็งแกร่ง สอดคล้องกับความต้องการแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโต ประกอบกับอัตราส่วนหนี้สินขณะนี้ที่อยู่ในระดับที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ KCE มีความสามารถในการรองรับแผนการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ ในประเทศไทย (โครงการโรจนะ) ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt/EBITDA) ของ KCE จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2566 จากระดับ 0.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 โดยอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1.2 เท่า ณ สิ้นปี 2567 โดยรวมแผนการลงทุนโครงการโรจนะเฟสหนึ่ง
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ช่วงขยายการลงทุน - KCE ได้มีการลงทุนขยายกำลังการผลิตตั้งแต่ปี 2564 เพื่อตอบรองรับความต้องการแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะเติบโตในอนาคต โดยค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.7 หมื่นล้านบาทในปี 2564 (332 ล้านบาทในปี 2563) โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนสำหรับขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเดิมที่ลาดกระบังและอยุธยา จำนวน 6 แสนตารางฟุตต่อเดือน ส่วนโครงการโรจนะเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ แบ่งออกเป็นสามเฟส กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3 ล้านตารางฟุตต่อเดือน (1 ล้านตารางฟุตต่อเดือนสำหรับแต่ละเฟส)
ณ ขณะนี้ งบประมาณเงินลงทุนยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ฟิทช์ได้มีการพิจารณารวมเงินลงทุนตามแผนเบื้องต้นสำหรับการก่อสร้างอาคารโรงงานและเครื่องจักรของเฟส 1 จำนวนประมาณ 6.5 พันล้านบาท ที่คาดว่าจะใช้ในปี 2565-2566 KCE กล่าวว่าแผนการลงทุนในส่วนของเครื่องจักรของเฟส 2 และ 3 ซึ่งเบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณ 5.5 พันล้านบาท มีความยืดหยุ่นและสามารถเลื่อนการลงทุนออกไปได้ในกรณีที่ความต้องการซื้อสินค้าอ่อนแอกว่าที่คาด ฟิทช์จึงมิได้รวมเงินลงทุนในส่วนนี้ในประมาณการ เนื่องจากความไม่แน่นอนของแผนการลงทุนดังกล่าว
อัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นชั่วคราว - ฟิทช์คาดว่าNet Debt/EBITDA ของ KCE จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.1 เท่า ณ สิ้นปี 2565 และ 1.6 เท่า ณ สิ้นปี 2566 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.2 เท่า ณ สิ้นปี 2567 โดยการลดอัตราส่วนหนี้สินได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโรงงานเดิมที่แข็งแกร่ง และการเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังการผลิตของโครงการโรจนะ KCE สามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับต่ำ โดยมีเงินสดเกือบเท่ากับหนี้สิน ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการรองรับแผนการลงทุนที่สูงในช่วงปี 2564-2566 ฟิทช์เชื่อว่า KCE จะสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เพียงพอ สำหรับการลงทุนขยายกำลังผลิตโครงการโรจนะในเฟสต่อไปในอนาคต โดยที่ยังรักษาNet Debt/EBITDA ในระดับต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
กำไรเพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อที่แข็งแกร่ง - ฟิทช์คาดว่ารายได้และ EBITDA ของ KCE จะเติบโตประมาณร้อยละ 20-25 ในปี 2565 จากความต้องการซื้อแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 โครงการโรจนะ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 น่าจะช่วยให้กำไรของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ KCE จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.5 พันล้านบาทในปี 2567 จาก 3.4 พันล้านบาทในปี 2564 การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ที่น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของความต้องการซื้อในอนาคต
ผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรฯ รถยนต์รายใหญ่ - อันดับเครดิตของ KCE สะท้อนถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีวงจรสินค้าที่ค่อนข้างยาว และต้องอาศัยความผูกพันกับลูกค้าในการได้มาซึ่งยอดขาย ทำให้เป็นธุรกิจที่มีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (High Barrier to Entry) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าบริโภคทั่วไป (Consumer Electronics) KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยมีส่วนแบ่งด้านรายได้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-5
การกระจุกตัวของรายได้ที่ลดลง - ความพยายามของ KCE ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้า HDI ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ จะช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายแผ่นพิมพ์วงจรจากลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกที่ประมาณร้อยละ 50 ในปี 2564 ซึ่งลดลงจากประมาณร้อยละ 65 ในปี 2553
อัตรากำไรที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินบาท - ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงสูงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวน โดยในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก รายได้และกำไรจะลดเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณร้อยละ 80-90 ของรายได้ อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร ในขณะที่ร้อยละ 40-60 ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
KCE มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของ KCE มีความใกล้เคียงกันกับของ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PTL, อันดับเครดิต A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) PTL เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม PET รายใหญ่ที่สุดในโลกตามรายได้ PTL ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงกว่า โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแผ่นฟิล์มมาตรฐาน ซึ่งมีความผันผวนด้านราคา และมีการแข่งขันที่สูง ในขณะที่ KCE เน้นผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม PTL มีการกระจายตัวของฐานการผลิตและลูกค้าที่มากกว่า บริษัททั้งสองมีอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับต่ำกว่า 1.5 เท่า ดังนั้นอันดับเครดิตจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG, อันดับเครดิต A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และ KCE ต่างมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขายสินค้าคนละชนิด EPG เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมด EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจและลูกค้าที่มากกว่า โดย EPG มีการกระจายรายได้จากการผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA Margin และ Free cash flow margin ที่สูงกว่า ด้วยสถานะทางธุรกิจที่เทียบเคียงกันและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียว อันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทจึงเท่ากัน
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 20-25 ในปี 2565 (ปี 2564 เติบโตร้อยละ 30) จากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อแผ่นพิมพ์วงจรฯ ในทุกอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงการเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตส่วนเพิ่ม รายได้เติบโตที่ระดับร้อยละ 15-20 ต่อปี ในปี 2566-2567 ได้รับการสนับสนุนจากแนวโน้มการเติบโตของความต้องการซื้อสินค้าและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก โครงการโรจนะ
- อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ร้อยละ 21-22 ในปี 2565-2567 (ปี 2564 ร้อยละ 22.4) แม้ว่าราคาทองแดงยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากบริษัทมีความสามารถที่จะขึ้นราคาขายสินค้าได้ อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น และการเพิ่มสัดส่วนการผลิตแผ่นพิมพ์วงจร HDI ที่มีอัตรากำไรสูง
- แผนการใช้จ่ายลงทุนที่สูงสำหรับโครงการโรจนะและการปรับปรุงด้านเทคโนโลยี จำนวน 8 พันล้านบาท ในปี 2565-2567 (ปี 2564 จำนวน 1.7 พันล้านบาท) ซึ่งรวมเงินลงทุนตามแผนเบื้องต้นสำหรับการก่อสร้างอาคารโรงงานและเครื่องจักรของเฟส 1
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ในระดับสูงที่ประมาณร้อยละ 80 ในปีงบการเงิน 2565-2567 (ปี 2564 ร้อยละ 78)
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- KCE สามารถขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มการกระจายตัวของลูกค้า โดยยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ต่ำกว่า 2.0 เท่า อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยลบ
- กระแสเงินสดที่ต่ำกว่าที่คาด หรือเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือมีการซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- EBITDA Margin ต่ำกว่าร้อยละ 13 อย่างต่อเนื่อง
- สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ - ณ สิ้นปี 2564 KCE มีหนี้ทั้งหมดที่ 3.7 พันล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 2.5 พันล้านบาท โดยหนี้ระยะสั้นดังกล่าวส่วนใหญ่ประกอบด้วยหนี้เพื่อสนับสนุนการส่งออก สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.0 พันล้านบาท และมีสภาพคล่องเสริมจากวงเงินกู้หมุนเวียนที่ยกเลิกได้ (uncommitted facilities) จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และ 81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2564 เงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิต น่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและวงเงินกู้จากสถาบันการเงินบางส่วน
ข้อมูลบริษัท
KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยรายได้จากแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 80 ของรายได้แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของบริษัท KCE ส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2564 ได้แก่ ร้อยละ 44 จากทวีปยุโรป ร้อยละ 18 จากทวีปอเมริกา และร้อยละ 37 จากทวีปเอเชีย
KCE คว้ารางวัลซีอีโอยอดเยี่ยม จากเวที SET Awards 2022 สะท้อนความมุ่งมั่นทุ่มเท พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
มอบรางวัล SET Awards 2022
ซีอีโอจาก KCE และ KUMWEL คว้า Best CEO Awards (SET และ mai) และ SPALI คว้า Young Rising Star CEO Awards พร้อมด้วย 47 บจ. องค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนใน SET Awards 2022
รายการ Finansia Exclusive Talk ตอน “การฟื้นตัวครั้งใหม่ของ KCE”
ภาพข่าว: ทริส คอร์ปอเรชั่น จัดงานสัมมนา “TRIS ACADEMY FORUM : LEADERS VS THE 4.0 MOVEMENT