บลจ.วรรณ แนะกระจายการลงทุน ปรับพอร์ตกองทุนรวมตราสารหนี้ Investment grade ผสม High Yield Bond สู้เงินเฟ้อปีนี้ที่เร่งตัวขึ้น จากปัจจัยบวกการเปิดประเทศและความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังไม่ได้ข้อสรุป เน้นกลุ่มฐานลูกค้าเงินฝากและผู้ลงทุนที่ยังสนใจลงทุนในตราสารหนี้ โดยเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ไทย 2Y ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-TFIN2Y-AI) ซึ่งจะเปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 25 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 อายุโครงการ 2 ปี คาดการณ์ผลตอบแทนรวม 6.80% ต่อ 2 ปี
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตสินค้าไม่สามารถจะผลิตทันตามความต้องการ เกิดปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน (Supply-chain disruption) ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก จนทำให้ธนาคารกลางของประเทศหลักหลายรายต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และ อังกฤษ (BOE) เป็นต้น ขณะที่ประเทศไทยนั้นอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน
จากปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังยืดเยื้อส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น มีความผันผวนสูง ซึ่งบลจ.วรรณ มองเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเติบโตและพื้นฐานดีในช่วงที่ตลาดปรับตัวย่อลง แต่ในแง่ของการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี บริษัทยังคงแนะนำให้จัดสรรสินทรัพย์การลงทุนในพอร์ตให้มีความหลากหลาย ดังนั้น การลงทุนสินทรัพย์ตราสารหนี้ ยังคงเป็นอีกส่วนที่กระจายการลงทุนของพอร์ต ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ Investment Grade อาจจะยังให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก จึงควรมีการปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ให้มีตราสารหนี้ประเภท High Yield Bond เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทฯแนะนำ กองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ไทย 2Y ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-TFIN2Y-AI) ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ซึ่งจะเปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 25 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 ซื้อได้ครั้งเดียวเฉพาะช่วง IPO เท่านั้น ซื้อเพิ่ม/ขายคืนระหว่างอายุโครงการไม่ได้ คาดผลตอบแทนรวมหลังหักค่าใช้จ่ายที่ 6.80% (3.40% ต่อปี) จากอายุโครงการ 2 ปี โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์การลงทุน ซึ่งจัดสัดส่วนการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) และตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment grade) หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ (unrated)
"การลงทุนในตราสารหนี้ Non-Investment grade หรือ unrated bond (Hight Yield Bond) นับว่ามีความเสี่ยง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการรับการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือจากสถาบันการเงิน อาจจะด้วยปัจจัยที่ต่างกัน แต่การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีพอร์ตผสมระหว่างตราสารหนี้ระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade) และ เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับต่ำกว่า Investment grade (ต่ำกว่า BBB-) รวมถึงตราสารหนี้ของบริษัทที่ไม่ได้จัดทำอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bonds) ถือเป็นการลดความเสี่ยงระดับหนึ่ง หากเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ Hight Yield Bond โดยตรง รวมทั้งเป็นตราสารหนี้ที่บริษัทจัดการได้พิจารณาแล้วว่าแม้ไม่มีการจัดอันดับแต่มีความน่าเชื่อถือและสามารถลงทุนได้" นายพจน์กล่าว
อย่างไรก็ดี จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินล่าสุด ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งเกิดจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้มีการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้นในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ของไทยจึงไม่น่ากังวลการขาดทุนในระยะสั้นเหมือนกับในต่างประเทศ กองทุนฯ ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ประมาณ 2 ปี ซึ่งถือว่าไม่นานจนเกินไป ช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างทางก่อนที่ตราสารจะครบกำหนดอายุสัญญาได้ ขณะที่อายุเฉลี่ยของหุ้นกู้ Investment grade ของไทย ปัจจุบันอยู่ที่ราว 3 ปีขึ้นไปและมีผลตอบแทนต่อปีใกล้เคียงกันกับกองทุนของบริษัทแล้วแต่ความเสี่ยง
ปัจจุบัน การลงทุนใน High Yield Bond ประเภท Unrated ของไทยมีอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) อยู่ที่ประมาณ 6.25% - 7.50% โดยมีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้อยู่ 1-3 ปี (ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ณ 28 ก.พ. 2565) ถึงแม้ว่า High Yield Bond จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า Investment Grade Bond แต่ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในอดีตของ High yield bond ค่อนข้างโดดเด่นอย่างมาก โดยจากข้อมูลสถิติในอดีตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ Bloomberg Global High Yield Total Return Index อยู่ที่ประมาณ 4.92% ซึ่งมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงใน Bloomberg Global Aggregate Corporate Total Return Index ซึ่งมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 2.63% ดังนั้น บริษัทมองว่าการลงทุนบน High Yield Bond มีความน่าสนใจและสามารถนำมาเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนบนตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ ตัวอย่างการลงทุนในพอร์ตของกองทุน ONE-TFIN2Y-AI โดยตราสารหนี้ที่อยู่ระดับ Investment grade ได้แก่ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยมีสัดส่วนการลงทุนกว่า 50% ขณะที่ตัวอย่างตราสารหนี้ในระดับต่ำกว่า Investment grade และ Non-rated ได้แก่ บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ กองทุน ONE-TFIN2Y-AI เหมาะสำหรับผู้ลงทุนผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ตลอดอายุกองทุน ระยะเวลาประมาณ 2 ปี และคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป
ธนาคารกรุงเทพโชว์ผลงานเกินต้าน คว้า 7 รางวัลยอดเยี่ยมด้านตราสารหนี้
SCBX คว้ารางวัล Issuer of The Year 2024 จาก ThaiBMA สะท้อนความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากนักลงทุนไทย
บลจ.กสิกรไทย ครองแชมป์ Top Investment Houses 11 ปีซ้อนจากเวทีโลก ตอกย้ำความสำเร็จส่งท้ายปี การันตีฝีมือบริหารกองทุนตราสารหนี้ไทย
“ซีพี ออลล์” ขายหุ้นกู้ได้ตามเป้า 13,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน
PEA กับก้าวแห่งความสำเร็จ การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (PEA Sustainability Bond) ครั้งแรก ตอกย้ำการนำองค์กรมุ่งสู่เส้นทาง Green Finance
CKPower แชร์ประสบการณ์ความสำเร็จการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในงานสัมมนาสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
ก.ล.ต. - สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ร่วมหารือแนวทางเสริมสร้างระบบนิเวศตลาดตราสารหนี้ไทย
SC เผยความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ ปิดการขายเกินเป้า ตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัท