"ดร.ชาคริต พิชญางกูร" ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เดินหน้าสานต่อภารกิจ CEA ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ใช้พลัง "ซอฟท์พาวเวอร์" เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการยุคใหม่ เพื่อการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ
จัดว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของ ดร.ชาคริต พิชญางกูร ในการเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) จากที่เคยเป็นผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจบริษัทเอกชนชั้นนำ ทั้งด้านสายงานธุรกิจ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เปิดเผยว่า การเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการของ CEA ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถจากที่เราเคยทำงานแนวดิ่งที่เป็นสายงานเดียวกันในภาคเอกชน เราต้องวางกลยุทธ์ในการทำงานแบบแนวกว้างที่ต้องประสานและเชื่อมต่อหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมที่เราได้วางแผนไว้ให้บรรลุเป้าหมาย
สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายยังคงเป็นการสานต่อภารกิจเดิมของ CEA ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจ ด้วยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมให้แก่ชุมชน สาธารณชน และสถาบันการศึกษา
"ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยีที่ส่งผลถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้ การผลักดันให้เกิดการยกระดับเศรษฐกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์นั้น ผมมองว่า การใช้พลัง "ซอฟท์พาวเวอร์" ผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย (CREATECH) จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ให้พัฒนาทั้งรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้คน ก่อให้เกิดระบบนิเวศสร้างสรรค์ที่เอื้อให้เกิดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และโครงสร้างสังคมที่ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้อย่างอิสระเสรี" ดร.ชาคริต กล่าว
ทั้งนี้ ภารกิจที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ที่เอื้อต่อบรรยากาศสร้างสรรค์และการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ รวมทั้งพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น โดย CEA ได้เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองผ่านเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย (Thailand Creative District Network : TCDN) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับความสนใจ ตลอดจนความร่วมมือจากชุมชนในการพัฒนาพื้นที่ที่มีการดึงผู้เชี่ยวชาญทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ผนวกความคิดสร้างสรรค์ โดยการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตสินค้าและบริการใหม่ให้พื้นที่ก้าวสู่ย่านและเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมก้าวสู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก หรือ UNESCO Creative Network (UCCN) ซึ่งขณะนี้ CEA ได้ขยายไปมากกว่า 33 พื้นที่แล้ว
ในส่วนของบทบาทการพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมให้เกิดการนำกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เราจะนำความได้เปรียบในด้านต้นทุนทางสังคม และวัฒนธรรมในการขับเคลื่อน 15 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่จะนำมาสู่การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ที่ประกอบด้วย 1. Creative Originals ได้แก่ งานฝีมือและหัตกรรม ดนตรี ศิลปะการแสดง และหัตถศิลป์ 2. Creative Content / Media ได้แก่ ภาพยนต์ การพิมพ์ การกระจายเสียง ซอฟต์แวร์ (เกมและแอนิเมชัน) 3. Creative Services ได้แก่ การโฆษณา การออกแบบ และสถาปัตยกรรม 4. Creative Goods / Products ได้แก่ แฟชั่น อาหารไทย แพทย์แผนไทย และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
ภารกิจสุดท้ายของ CEA ในการเป็นศูนย์กลางที่รวบรวมข้อมูลและเป็นตัวกลางประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างประเทศหรือระหว่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านความคิดสร้างสรรค์ที่จะนำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศนั้น ทาง CEA ได้มุ่งมั่นทำงานร่วมกับองค์กรเอกชนหลายแห่ง หลายสาขา เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งการพัฒนาทักษะดิจิทัล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การนำเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ นอกจากนี้ ยังผลักดันกระบวนการด้านทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งอัตลักษณ์ตามสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI และสร้างระบบฐานข้อมูลอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมต่อกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล และเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ ต่อไป
"ก้าวต่อไปของ CEA จะต้องยกระดับให้เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่และผู้ประกอบการสร้างสรรค์ยุคใหม่ การจับคู่ธุรกิจรายใหญ่รายย่อยเพื่อให้เกิดการระดมทุน ซึ่งผมได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยจะมุ่งพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ (Creative People) การเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจสร้างสรรค์ (Creative Business) และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Place) ให้เป็น "เมืองสร้างสรรค์" ดึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นดันเป็นซอฟท์พาวเวอร์ สร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังการฟื้นตัวจากโควิด-19 ให้มากขึ้น ซึ่ง CEA มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในบริบทโลก ส่งเสริมการจดทรัพย์สินทางปัญญา ต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ผลักดันนักสร้างสรรค์สายครีเอเทค (Createch) พร้อมเชื่อมต่อทุนอุตสาหกรรมให้แก่ SMEs ผลักดันเอกชนรายใหญ่ส่งออกเพื่อให้เกิดการกระตุ้นสินค้า บริการใหม่ ๆ และมีการจดทะเบียนที่ได้รับการรับรองที่เป็นสากล" ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้าย
"พลอยลภัสร์" เปิดตัวภาพยนตร์ "สำรับ สลับศตวรรษ My Century" ผนึกพลังสร้างสรรค์ ถ่ายทอดเสน่ห์อาหารไทย ผ่านภาพยนตร์ก้าวไกลสู่เวทีสากล
'ธรรมศาสตร์' วิจัย 'ผ้าไทย ต.ก้อ' ส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่น สืบสานพระราชปณิธาน 'พระพันปีหลวง'
"ดีพร้อม" โชว์ความสำเร็จสร้าง Hidden Gems ยกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนฯ ตอกย้ำเสน่ห์อาหารไทย รังสรรค์ 93 เมนู เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย และ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี
กระทรวงอุตฯ ชูผลสำเร็จ 1 ทศวรรษ "Angel Fund" ดีพร้อม-เดลต้า ปั้น "ผู้ประกอบการอัจฉริยะ" 237 ราย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจทะลุ 1,000 ล้านบาท พร้อมรุก 3 กลยุทธ์ใหม่ ดันดีพเทคดาวรุ่งสู่ตลาดอุตสาหกรรม
"ธนกร" สั่งการ "ดีพร้อม" Quick Big Win อัดฉีดสินเชื่อ "เงินไว by DIPROM" ดอกเบี้ย 50 สตางค์ กระตุ้นสั้น โค้งสุดท้ายปลายปี ดีมานด์พุ่ง!! 30%
"ดีพร้อม" ปลุกพลังสร้างสุข ดัน SMEs เข้าร่วมกิจกรรม เลิกเหล้า-บุหรี่ ออมเงิน ได้ผลกว่า 17 ล้าน ขึ้นแท่น วิสาหกิจต้นแบบ SHAP ประจำปี 2567
"ดีพร้อม" เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยสายแฟชั่น ดึงซอฟต์พาวเวอร์ เสริมอัตลักษณ์ รังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมชี้ 3 เทรนด์ที่ต้องเร่งปรับตัวตาม
ดีพร้อมจัดใหญ่ 'มหกรรมดีพร้อมเสน่ห์ไทย: Thai Vibe by DIPROM' โชว์ซอฟต์พาวเวอร์อาหารและแฟชั่นไทย สร้างอนาคตใหม่ให้ SMEs คาดดึงคน 30,000 รายเข้างาน กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท