"ฟลอยด์" คว้างานใหม่มูลค่ากว่า 128 ลบ. ชูกลยุทธ์ควบคุมต้นทุน-รักษาฐานลูกค้าเดิม-ลุยงานดาต้าเซ็นเตอร์

18 May 2022

FLOYD ประกาศคว้างานใหม่เพิ่ม 2 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 128 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ เสริมพอร์ตรายได้ หนุนงานในมือ (Backlog) แข็งแกร่งอยู่ที่ 127.66 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน ที่มีการขยายตัว ในขณะที่งานดาต้าเซ็นเตอร์ มีโอกาสได้งานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นมากใน 2-3 ปีข้างหน้า

"ฟลอยด์" คว้างานใหม่มูลค่ากว่า 128 ลบ. ชูกลยุทธ์ควบคุมต้นทุน-รักษาฐานลูกค้าเดิม-ลุยงานดาต้าเซ็นเตอร์

นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และระบบดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทฯได้รับงานโครงการก่อสร้าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ (Data Center) จากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โดยเป็นงานติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบการอาคาร อยู่ระหว่างดำเนินงาน และได้รับงานโครงการก่อสร้าง โฮมโปรดักส์เซ็นเตอร์ สาขาเมกาโฮม สุราษฎร์ธานี เป็นงานติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ซึ่งทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างดำเนินงาน รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 128,400,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สนับสนุนงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นปัจจุบันอยู่ที่ 127.66 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีความพร้อมเข้าประมูลงานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีอีกหลายโครงการที่คาดว่าจะได้งานเพิ่ม

"มองว่าหลังรัฐบาลเตรียมประกาศปลดโควิด-19 จากโรคระบาดเป็นโรคประจำถิ่น น่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวก และธุรกิจของ FLOYD ที่อิงกับระบบสาธารณูปโภค ประกอบกับธุรกิจค้าปลีก/ห้างสรรพสินค้า (โดยเฉพาะโซนอาหาร), ซูเปอร์มาร์เก็ต,ไฮเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง กลับมาปรับปรุง, ขยายสาขา เพื่อรองรับแผนการเปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวของภาครัฐ เชื่อว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกของบริษัทฯ ที่ดีให้กลับมาคึกคักได้เหมือนเคย โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบแบบครบวงจร ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็วด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ"

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์เน้นการควบคุมต้นทุน รักษาฐานลูกค้าเดิม ได้แก่ กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมลุยงานดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่ม ตามความต้องการ Data center ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการใช้เทคโนโลยี Cloud , AI และ Big Data ที่เพิ่มมากขึ้นตามเทรนด์เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล, การมาของเทคโนโลยี Metaverse รวมถึงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้หลายหน่วยงานปรับเปลี่ยนการทำงาน ประกอบกับรัฐบาลมีการพัฒนาระบบ Cloud กลางภาครัฐ เพื่อการใช้งาน Big Data ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งขยายพื้นที่ Data Center คาดว่าจะเกิดขึ้นมากใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ อยู่ในช่วงของการเจรจากับลูกค้าหลายราย

ล่าสุดผลประกอบการในงวดไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 30.27 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่สำคัญประกอบด้วยรายได้จากโครงการแนวราบ, อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ โดยผลกระทบจากโควิด -19 ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ ขยายขอบเขตการรับงานและมุ่งเน้นควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตแง่รายได้และกำไร และในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดโครงการส่งผลให้การเติบโตของรายได้ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดโครงการและเริ่มปฏิบัติงานการเจริญเติบโตของรายได้ก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ และจะส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง