นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมเวที CEO Dialogue : แลกเปลี่ยนความคิดเห็นโครงการธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนสำหรับภาคธุรกิจในตลาดทุนไทย (ระยะที่ 2) ในหัวข้อ"เตรียมความพร้อมธุรกิจสู่การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน" จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อระดมความเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้บริหารองค์กรภาคเอกชน นำมาเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำเครื่องมือช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจดำเนินการด้วยความเคารพสิทธิมนุษยชน ตามหลักการชี้แนะขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) อย่างเป็นรูปธรรม
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ซีพีเอฟมีการลงทุนใน 17 ประเทศทั่วโลกและส่งออกมากกว่า 40 ประเทศ บริษัทดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยยึดปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ไปลงทุนที่ไหนแล้วต้องทำประโยชน์ให้ประเทศนั้นๆ เพื่อที่จะอยู่ได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน ต้องทำประโยชน์ให้กับสังคม หากทำทั้งสองเรื่องสำเร็จ ก็จะทำให้บริษัทอยู่ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ภายใต้เป้าหมายกลยุทธ์ CPF 2030 Sustainability in Action ซึ่งเป็นเป้าหมายสู่ความยั่งยืนของซีพีเอฟ ยังได้บรรจุเรื่องของสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักด้วย
"เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นนโยบายจากท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ว่าการที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในระยะยาวอย่างยั่งยืน เราต้องดูแลสมาชิกในบริษัท และผู้ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การดูแลลูกค้าให้ประสบความสำเร็จ พนักงานของเรา ต้องได้รับการดูแลให้อยู่กับเราอย่างมีความสุข มีรายได้ที่ดี และ คู่ค้าของเราก็ต้องประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ดูแลแค่บริษัทเรา แต่เราต้องดูแลทั้งซัพพลาย เชน ว่าจะทำอย่างไรให้ยั่งยืนไปด้วยกัน" นายประสิทธิ์ กล่าว
พร้อมกันนี้ ซีอีโอ ซีพีเอฟ ยกตัวอย่างการดำเนินโครงการต่างๆของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสิทธิมนุษยชน ทั้งกลุ่มของลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ซึ่งต้องทำทั้งซัพพลาย เชน อาทิ การรับพนักงานต่างชาติเข้ามาร่วมงาน ที่บริษัทฯ จัดจ้างตรงจากประเทศต้นทาง โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการจัดจ้างทั้งหมด ทั้งค่าตรวจโรค ค่าวีซ่า ค่าเดินทาง จนพนักงานเดินทางถึงประเทศไทย เพื่อไม่ให้แรงงานต่างชาติมีภาระหนี้สิน (debt free recruitment process) จากการสมัครงาน และพนักงานต่างชาติทุกคนยังได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการเท่าเทียมกับพนักงานคนไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทวนสอบหลังการจัดจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจัดจ้างพนักงานต่างชาติดำเนินการอย่างโปร่งใส
บริษัทฯ ยังได้จับมือกับมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Promotion Network Foundation: LPN) จัดอบรมให้พนักงานของซีพีเอฟมีความรู้ด้านสิทธิด้านแรงงาน อาชีวอนามัยและธรรมาภิบาล และ จัดให้มีช่องทางรับฟังเสียงพนักงาน "ศูนย์ Labour Voices Hotline by LPN" เพื่อให้พนักงานสามารถเสนอแนะและแจ้งข้อร้องเรียนผ่านองค์กรที่เป็นกลางได้ด้วยภาษาตนเอง ถึง 4 ภาษา (กัมพูชา เมียนมา อังกฤษ และไทย) ช่วยให้บริษัทฯรับทราบปัญหา หรือข้อเสนอแนะของพนักงานเพื่อปรับปรุงมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนได้ทันสถานการณ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้พนักงานทุกคน ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน
ในส่วนของการดูแลและให้ความช่วยเหลือคู่ค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด -19 ว่า ซีพีเอฟ มีซัพพลายเออร์ที่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กว่า 6 พันราย ซึ่งได้รับการดูแลให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยลดระยะเวลาเครดิตเทอมจาก 45-60 วันเป็น 30 วัน และปัจจุบัน ยังได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ ดำเนินโครงการ "CPF x BBL เสริมสภาพคล่อง…เคียงข้างคู่ค้า" สนับสนุนคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เป็นความร่วมมือผ่านบริการสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้คู่ค้าสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคง
ในด้านของความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจที่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน ซีอีโอ กล่าวว่า องค์กรใหญ่อย่างซีพีเอฟ อาจจะมีความท้าทายบ้าง จากจำนวนบุคลากร ซึ่งปัจจุบัน เรามีพนักงานในประเทศไทยและทั่วโลก รวมประมาณ 130,000 คน มีความหลากหลาย แต่เราก็มีกระบวนการในการรับพนักงานที่เข้ามาทำงาน มีทีมงานที่เข้าไปดูแลกลุ่มต่างๆ เป็นความยากด้านบุคลากร แต่บริษัทฯมีการกำหนดโครงสร้างและทีมงานในการเข้าไปดูแล และยังถ่ายทอดแนวทางการปฏิบัติที่ดีต่อแรงงานให้กับคู่ค้าธุรกิจ เพื่อให้ตลอดห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟมีการปฏิบัติต่อแรงงานตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่มีการใช้แรงงานผิดกฎหมายทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ การจัดสัมมนา CEO Dialogue มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นในเชิงนโยบายจากผู้นำองค์กร และพร้อมส่งต่อความมุ่งมั่นไปยังหน่วยงานอื่นๆ ในห่วงโซ่คุณค่า และบุคลากรขององค์กร เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน ลดผลกระทบและสร้างผลลัพธ์เชิงบวกจากการดำเนินธุรกิจ ซึ่งนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล
คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน จะช่วยให้ภาคธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญยังสามารถตอบโจทย์นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องซึ่งต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการเรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณและเปิดเผยค่าธรรมเนียมกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ประกอบการตัดสินใจลงทุน และได้รับการบริการที่เหมาะสมกับค่าธรรมเนียมที่จ่าย (fee for reasons) รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีความยืดหยุ่นในการกำหนดค่าธรรมเนียมตามรูปแบบการให้บริการ เพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ก.ล.ต. สนับสนุนการใช้กองทุนรวม
KuCoin Thailand เปิดแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบสู่สาธารณะ พร้อมต้อนรับทุกคน ด้วยมาสคอตใหม่และแคมเปญสุดพิเศษ
—
KuCoin Thailand ได้เริ่มต้นบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นด้วยก...
PLUS คว้าโล่ชื่นชมบจ.ต้นแบบ ร่วมโครงการ "ทิ้ง ทู แทรช" เดินหน้าสร้างองค์กรสีเขียวจากภายใน
—
นายกิตติ วชิรจิรากร (ซ้าย) รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติก...
BC คว้ารางวัล "ทิ้งทูแทรช" (Ting To Trash)" ตอกย้ำบทบาทผู้นำองค์กรต้นแบบ ESG
—
นายชูรัช รุ่งทวีวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท บูทิ...
SMPC รับโล่ชื่นชม "ทิ้ง ทู แทรช" (Ting To Trash) เดินหน้าสร้างวัฒนธรรมแยกขยะ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
—
บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผ...
"JAS" รับรางวัลโครงการ "ทิ้งทูแทรช" ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม
—
บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เข้ารับมอบโล่รางวัลจากการดำ...
SGP รับโล่ชื่นชมโครงการ "ทิ้ง ทู แทรช" ตอกย้ำความมุ่งมั่นองค์กรสีเขียว ร่วมสร้างวัฒนธรรมลดขยะและก๊าซเรือนกระจก
—
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการและ...