'บมจ. บล. จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย)' หรือ Z โชว์ศักยภาพผู้นำการให้บริการด้านบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในธุรกิจหลักทรัพย์ของไทย ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน รุกสร้างความแตกต่างจากธุรกิจหลักทรัพย์อื่น ชูจุดเด่นบริการบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ดอกเบี้ยให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ถูก ค่าคอมมิชชั่นต่ำ พร้อมเดินหน้ายกระดับการเทรดด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากญี่ปุ่น หนุนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ด้านการให้บริการด้านบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของประเทศไทย
นายเมกุมุ โมโตฮิสะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") หรือ Z เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2565 ยังคงอยู่ในสภาวะผันผวนจากปัจจัยการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ระดับราคาของสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ราคาทองคำ ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น เป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่มีระดับสูงขึ้น อีกทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการจะกลับมาสู่ภาวะระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น นับเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ หรือเป็นโอกาสของนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะปัจจุบันสามารถเข้าถึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องออกจากสถานที่พักอาศัย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวส่งเสริมให้ตลาดการลงทุนมีการขยายตัว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในประเทศไทย โดยได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมายเลข 10 ภายใต้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งให้บริการเฉพาะ 2 ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ คือ 1) บัญชีเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Account) และ 2) บัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในนาม Z เป็นหลัก ด้วยความพร้อมด้านประสบการณ์ และการมีแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากการที่บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ GMO Financial Holdings Inc. ("GMOFHD") ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GMO Internet โดยทั้ง 2 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (Tokyo Stock Exchange: TSE) สำหรับ GMOFHD มีการดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company โดยเน้นธุรกิจให้บริการทางการเงินได้แก่ การซื้อขายหลักทรัพย์ (Securities Trading) อัตราแลกเปลี่ยนทางการเงิน (Foreign Exchange Trading) และสินทรัพย์ดิจิทัล ครอบคลุมการให้บริการใน 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และประเทศไทย ซึ่งจากศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของผู้ถือหุ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี
นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมมุ่งมั่นให้บริการในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ปัจจุบันจะมีบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จำนวน 38 บริษัท ซึ่งมีการแข่งขันค่อนข้างสูงและใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านอัตราค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตระหนักดีถึงความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้บริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ Z.com โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก GMOFHD และนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย จนกลายเป็นระบบเทคโนโลยี (Initial Margin Methodology) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน โดยบริษัทฯ สามารถคำนวณการปรับเกรดหุ้นเพื่อให้สามารถสะท้อนถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ตามสถานการณ์ทุกวันได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และมีจำนวนหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและ/หรือนำมาวางเป็นหลักประกันได้จำนวนมาก ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นรายได้หลัก ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของไทยได้อย่างแน่นอน
"แม้จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ แต่บริษัทฯ มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนธุรกิจหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เน้นความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของเรา เพราะไม่ว่าปริมาณการซื้อขายจะมากหรือน้อย ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการหรือติดวันหยุดยาว ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ได้ทุกวัน" นายประกฤต กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บล. จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในประเทศไทย และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.) กลยุทธ์ด้านความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและนำมาวางเป็นหลักประกัน มุ่งเน้นธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) เป็นหลัก รวมถึงมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้มาจากประเทศญี่ปุ่น สามารถนำมาประยุกต์และปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย 2.) กลยุทธ์ด้านอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยการคิดอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Commission Rate) ในอัตราร้อยละ 0.065* ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าว เป็นค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในตลาด เนื่องจากบริษัทฯ มุ่งเน้นให้ลูกค้าทำรายการด้วยตนเองผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนต่ำกว่าหากเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์อื่น 3.) กลยุทธ์ด้านช่องทางการตลาด เน้นแผนการตลาดผ่านการโฆษณาทางช่องทางออนไลน์ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีแผนการตลาดผ่านทางช่องทางออฟไลน์ด้วย อาทิ การออกบูธ การจัดสัมมนาให้ความรู้ และการโฆษณาผ่านช่องทางหนังสือพิมพ์ เป็นต้น และ 4.) กลยุทธ์ด้านกลุ่มลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ด้านการลงทุน โดยเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Generation X (อายุ 41-55 ปี) ซึ่งมีประสบการณ์ในการลงทุนสูง และในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วางแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่ม Generation Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยตนเอง โดยเชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯ มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น และจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักต่อไปในอนาคต
นางสาวประวีนา ไหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนงานผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ "การเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความแตกต่างและมีคุณภาพ พร้อมมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล" ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากผลประกอบการในปี 2562 - 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท 398.15 ล้านบาท และ 719.80 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 469.69 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 50.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มียอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 13,769 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 40.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ สำหรับพอร์ตรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562 - 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากดอกเบี้ยฯ จำนวน 206.11 ล้านบาท 335.33 ล้านบาท และ 639.63 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นสัดส่วน 81.94% 84.22% และ 88.86% ของรายได้รวมตามลำดับ ส่งผลให้ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับ 1 จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดในประเทศไทย และสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากดอกเบี้ยฯ จำนวน 430.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 91.64% ของรายได้รวม
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2562 - 2564 เท่ากับ 7 ล้านบาท 45 ล้านบาท 261 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ 2.69% ในปี 2562 11.22% ในปี 2563 36.30% ในปี 2564 และ 38.70% สำหรับงวด 6 เดือนปี 2565 ซึ่งบริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับสูง เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*หมายเหตุ: อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ดังกล่าว ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมตลาดฯ, ค่าชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์, ค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ร่วมงานมหกรรมการลงทุนแห่งปี "SET in the City 2025" จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี นายสุเทพ รุ่งสยาม กรรมการผู้จัดการ และ นางนันทรัตน์ สุรักขกะ รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยผู้บริหารจาก KGI ให้การต้อนรับ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโอกาสเยี่ยมชมบูธ โดยหนึ่งในไฮไลท์ของงานคือ เวที Mini Stage หัวข้อ "Global Glow Up: พอร์ตโตตามเทรนด์โลก" ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญจาก KGI จะมาอัปเดตเทรนด์เศรษฐกิจโลก
บางจากฯ พื้นฐานแกร่ง หุ้น BCP ได้รับเลือกเป็นหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี SET50
—
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แ...
ก.ล.ต. เตรียมพร้อมจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อรองรับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (Digital Securities) ยกระดับตลาดทุนไทยเป็นแรงขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
—
ก.ล.ต. สนับ...
CKPower ประสบความสำเร็จ ออก Green Bond ครั้งแรก 5,000 ล้านบาท ยอดจองท่วมท้น
—
สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อ CKPower ที่มุ่งขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่...
PLUS คว้าโล่ชื่นชมบจ.ต้นแบบ ร่วมโครงการ "ทิ้ง ทู แทรช" เดินหน้าสร้างองค์กรสีเขียวจากภายใน
—
นายกิตติ วชิรจิรากร (ซ้าย) รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติก...
PSP ชูกลยุทธ์ ESG ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2593
—
บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดโรดแมป ESG 5 ...
บลจ.กสิกรไทย เปิดคลาส "กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง"หลักประกันใหม่ที่แรงงานไทยควรรู้
—
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ร่วมกับกรมสวัส...
บลจ.อีสท์สปริง โชว์จ่ายปันผลกองทุนอสังหาฯและอินฟราสตรัคเจอร์ 2 กองทุน รวมมูลค่าประมาณ 220 ล้านบาท
—
บลจ.อีสท์สปริง เตรียมจ่ายปันผล 2 กองทุนอสังหาฯและอินฟร...