วช. หนุนทีมวิจัย ม.อ. พัฒนาศักยภาพการกักเก็บข้อมูลคาร์บอน ของป่าชายเลนและหญ้าทะเลตามธรรมชาติและปลูกบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้การสนับสนุนทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) ร่วมกับ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน และจัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึกให้แก่ชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนและพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์ ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนพร้อมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดเครือข่ายอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม นำมาซึ่งองค์ความรู้และบทความทางวิชาการเรื่องศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลของพื้นที่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งอันดามัน ในการสร้างนักวิจัยชุมชนสร้างผลกระทบในวงกว้างในการสร้างการมีส่วนร่วมและจิตสำนึกในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยบรรเทาและชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วช. หนุนทีมวิจัย ม.อ. พัฒนาศักยภาพการกักเก็บข้อมูลคาร์บอน ของป่าชายเลนและหญ้าทะเลตามธรรมชาติและปลูกบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. เป็นกลไกสำคัญของรัฐในการขับเคลื่อนให้การสนับสนุนงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์คิดค้นหรือนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการกักเก็บคาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue Carbon) จากระบบนิเวศป่าชายเลนและหญ้าทะเลนั้น มีบทบาทสำคัญในการชะลอและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศหญ้าทะเลและป่าชายเลนจะทำให้ความสามารถนี้ลดลง ซึ่งแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและฟื้นฟูบริการของระบบนิเวศชายฝั่งได้นั้น คือ การจัดการ การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งอย่างยั่งยืน สำหรับกระบวนการในการผลิตหรือการกักเก็บคาร์บอนในป่าชายเลนและหญ้าทะเลนั้น เกิดจากการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมาสะสมในตัวพืชและดิน ทำให้ป่าชายเลนและหญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชายฝั่ง มีความสามารถในการสะสมคาร์บอนมากกว่าระบบนิเวศบนบกถึง 10 เท่า (Hilmi et al., 2021) วช. หนุนทีมวิจัย ม.อ. พัฒนาศักยภาพการกักเก็บข้อมูลคาร์บอน ของป่าชายเลนและหญ้าทะเลตามธรรมชาติและปลูกบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พลชาติ โชติการ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการประเมินการสะสมคาร์บอนในหญ้าทะเลหรือป่าชายเลนที่ได้รับการฟื้นฟู และการศึกษาจำนวนมากยังขาดค่าประมาณการกักเก็บคาร์บอนที่แม่นยำ งานวิจัยนี้จึงมีการเก็บข้อมูลการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ รวมถึงที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งจังหวัดระนองมีเนื้อที่ป่าชายเลนจำนวน 103,493.42 ไร่ และจังหวัดตรังที่มีพื้นที่หญ้าทะเลมีพื้นที่หญ้าทะเลรวม 33,066.48 ไร่ ทำให้พื้นที่ทั้ง 2 มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนในระดับสูงมาก การกักเก็บคาร์บอนในป่าชายเลนและหญ้าทะเลโดยทั่วไป สูงถึง 495.85 และ 244.75 เมกกะกรัมคาร์บอนต่อไร่ ตามลำดับ (Aye et al., 2023) ทางทีมวิจัยยังมีการจัดกิจกรรม Capacity Building ของนักเรียนในชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง สร้างความเข้มแข็งของชุมชน รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังได้มีการพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนร่วมกับเทคนิคการรับรู้ระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดเครือข่ายอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม งานวิจัยชิ้นนี้จะนำมาซึ่งองค์ความรู้ทางวิชาการเรื่องศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พลชาติ กล่าวต่อว่า ประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากองค์ความรู้ทางวิชาการที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมนักวิจัยในระดับนานาชาติแล้ว ยังมีการสร้างการมีส่วนร่วมและจิตสำนึกในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสในการสร้างมูลค่าในตลาดคาร์บอน (Carbon Market) และเป็นเครื่องมือในการพัฒนา Blue Economy ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยจะมีการนำผลงานวิจัยมาต่อยอด เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านการกักเก็บคาร์บอนสีน้ำเงินการฟื้นฟูระบบนิเวศและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิธีการประเมินการกักเก็บคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล ภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์


ข่าวกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง+มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วันนี้

มิสทิน ร่วมกับ ทช. เดินหน้าโครงการยกเลิกการใช้สารที่เป็นอันตรายต่อปะการัง

มิสทิน ร่วมกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เดินหน้าโครงการยกเลิกการใช้สารที่เป็นอันตรายต่อปะการังในผลิตภัณฑ์กันแดดปลูกจิตสำนึก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน มิสทิน ร่วมกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นำโดย ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) พร้อมด้วยคณะให้การต้อนรับคุณปราการ สท้านโยธิน กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด และ และ บริษัท เบทเตอร์เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในนามผู้จัดจำหน่าย

นายอรรถพล เจริญชันษา (ที่2จากซ้าย) อธิบดี... LET จัดอบรม e-Service การบริหารจัดการสัตว์ป่าตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ — นายอรรถพล เจริญชันษา (ที่2จากซ้าย) อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รัก...