ในการดำเนินธุรกิจเมื่อผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มมองถึงการเติบโตในอนาคตก็คงจะต้องเริ่มพิจารณาว่าควรจะจดทะเบียนบริษัทหรือยัง ซึ่งการจดทะเบียนบริษัทมีประโยชน์อย่างไร และจะเหมาะสมกับธุรกิจที่มีลักษณะแบบไหน ยุ่งยากหรือไม่ finbiz by ttb จึงได้รวบรวมข้อมูลมานำเสนอเพื่อให้ผู้ประกอบการ SME มีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้อง
จดทะเบียนบริษัทดีอย่างไร? การจดทะเบียนเป็นบริษัทจะสร้างความได้เปรียบให้กับองค์กรในมิติต่าง ๆ ดังนี้
ธุรกิจควรเป็นบริษัทเมื่อไหร่?
แม้ว่าการจดทะเบียนบริษัทจะได้เปรียบในมิติต่าง ๆ ก็ตาม แต่ก็ควรจะจดทะเบียนบริษัทเมื่อมีคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนในการก่อตั้งบริษัท ดังต่อไปนี้
หากพิจารณาแล้วว่า องค์กรมีความพร้อมก็สามารถดำเนินการจดทะเบียนบริษัทได้ ในปัจจุบันยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
จดทะเบียนบริษัทยุ่งยากจริงหรือไม่?
ประเด็นที่มักถูกเข้าใจผิด เกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่
1 ) จดบริษัทแล้วมีโอกาสหลบภาษียากขึ้น
เริ่มต้นจากแนวคิดว่า ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะมีโอกาสถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรน้อยกว่า และสามารถใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบเหมาได้ด้วย ข้อเท็จจริงคือ การตรวจสอบของกรมสรรพากรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่รูปแบบของธุรกิจว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัท (นิติบุคคล) แต่ขึ้นอยู่กับประเด็นความผิดหรือความสงสัยที่ถูกตรวจพบมากกว่า และหากพิจารณาในรายละเอียดของข้อกฎหมายต่างๆ และแนวทางการตรวจสอบของกรมสรรพากรแล้ว พอสังเกตได้ว่า การทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดานั้นอาจมีโอกาสถูกตรวจสอบมากกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากกรมสรรพากรเองก็ทราบดีว่าบุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจนั้น มีโอกาสหลบเลี่ยงและหนีภาษีได้ง่ายกว่า ประกอบกับเงื่อนไขและความซับซ้อนของการทำบัญชีที่บริษัท (นิติบุคคล) นั้นต้องมีการทำบัญชีและนำส่งงบการเงินรวมถึงส่งข้อมูลต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ในขณะที่บุคคลธรรมดานั้นถูกกำหนดให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามแนวทางของกรมสรรพากรเท่านั้น
2 ) จดบริษัทแล้วต้องจัดการเอกสารต่างๆ วุ่นวายมากมาย
ข้อเท็จจริง คือ เอกสารต่าง ๆ จะมากกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจริง แต่เอกสารเหล่านั้นนำประโยชน์ด้านอื่น ๆ มาให้ การเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ต้องมีเอกสารมากมาย การหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นแบบเหมา ถ้าจดบริษัทแล้วเอกสารต่าง ๆ ก็จะย่อมจะมากขึ้น แต่ในมุมของ "สินเชื่อ" และ "การเงิน" เนื่องจากความยุ่งยากวุ่นวายของการเตรียมเอกสารที่ว่านั้นทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ง่ายกว่า และมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา
นอกจากโอกาสทางด้านสินเชื่อแล้ว ถ้าหากมองไปถึงโอกาส "การเงิน" ในการลงทุนต่อยอด เช่น การขยายธุรกิจ การเติบโต ความโปร่งใสต่างๆ รวมถึงความสนใจของนักลงทุน เมื่อธุรกิจมีข้อมูลที่ละเอียดและตรวจสอบได้ ก็เป็นการสร้างโอกาสเติบโตได้อีกช่องทางหนึ่ง และการจดทะเบียนบริษัทยังทำให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลทางการเงินต่าง ๆ ที่มี มาช่วยวางแผนในการตัดสินใจทางด้านการเงินต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน และถ้าหากมองไปยังประเด็นทางด้าน "ภาษีเงินได้" การเป็นนิติบุคคลจะเสียภาษีน้อยกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา เพราะอัตราภาษีเงินได้ของนิติบุคคลนั้นมีอัตราที่ต่ำกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็ต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นด้วยอีกทางหนึ่ง ดังนั้น หากธุรกิจมีข้อมูลที่ถูกต้อง ย่อมจะส่งผลดีต่อการเงินและการวางแผนภาษีของธุรกิจอีกต่อหนึ่ง
3 ) จดทะเบียนบริษัทแล้วต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อเท็จจริง คือ ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือว่าบริษัท (นิติบุคคล) ก็ตาม ธุรกิจดังกล่าวจำเป็นต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน เมื่อมีรายได้ที่กฎหมายกำหนด คือ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องของการตั้งราคาขายที่รวม หรือไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ให้ถูกต้องด้วย มิฉะนั้นอาจถูกกรมสรรพากรเรียกทั้งเบี้ยปรับ ค่าปรับ เงินเพิ่มต่าง ๆ ที่ธุรกิจต้องจ่ายย้อนหลัง
ดังนั้น หาก SME อยากเติบโตได้อย่างมั่นใจ มีโอกาสทางด้านสินเชื่อ เงินลงทุน ประหยัดภาษี และมีข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทน่าจะตอบโจทย์มากกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา และหากมองว่าธุรกิจของเรามีโอกาสเติบโตแน่ และมีโอกาสไปได้ไกลกว่านี้ ก็อย่าให้เรื่องภาษีหรือว่าความกลัวมาเป็นข้อจำกัดของธุรกิจอีกต่อไป
รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่นี่ https://www.ttbbank.com/pr/fb-km-regist23
สนใจข้อมูลอย่างละเอียด และติดตามสาระดี ๆ เพื่อธุรกิจและเอสเอ็มอีได้ที่ www.ttbbank.com/th/finbiz
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงิน
แนวคิดเรื่องเงินและแรงผลักดัน การเปลี่ยนแปลงเพื่อความสำเร็จของผู้ประกอบการ
—
ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจจำนวนมากกำลังเผชิญกับความกังวลในใจ ทั้งความไม่มั่...
ก้าวสู่ปีที่ 10 สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต ธ.ไทยเครดิต สินเชื่อสู่ประตูการค้าขายที่ยั่งยืน
—
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ยึดมั่นนโยบายส่งเสร...
EXIM BANK จับมือ RSPO ยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทยสู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น
—
นายบัณฑิต ส...
EXIM BANK จัดเต็ม โปรโมชันดี ๆ ช่วยผู้ส่งออกฝ่ามรสุมทรัมป์ 2.0
—
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดเต็ม บริการทางการเงิน พร้อมโปรโ...
แม็คโคร เปิดสาขาพังงา (ตะกั่วป่า) ยกขบวนสินค้าสด ครบ คุ้ม เต็มแม็ค พร้อมจัดโปรสุดคุ้มฉลองเปิดสาขา ตอบรับศักยภาพของจังหวัด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น
—
บริษัท ซีพี...
ฮีโน่เปิดตัวรถบรรทุก HINO EURO 5 พร้อมโซลูชันครบวงจรภายใต้แนวคิด "Always Your Professionals" ตอบสนองความสำเร็จของธุรกิจคุณ ด้วยรถบรรทุกของมืออาชีพ
—
กลุ่มบริษัท...
คาร์เทียร์ ประกาศเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเพื่อสังคมหญิง เข้าสู่โครงการระดับโลก Cartier Women's Initiative Awards 2026 ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 24 มิ.ย. 68
—
พร้อมเผยโฉม...
กรุงศรี พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว สนับสนุนสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ
—
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เ...
มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (SMU) ผนึกกำลังจุฬาฯ และมช. หนุนสตาร์ทอัพและธุรกิจด้านเทคโนโลยีของไทยขยายสู่ตลาดอาเซียน
—
พร้อมสนับสนุนให้ผู้หญิงก้าวเป็นผู้น...