"Valley" เปิดตัวอัลบั้มใหม่ "Lost in Translation" ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ทั้งสุขและเศร้า ผ่าน 15 เพลง โดนใจวัยรุ่นสายอินดี้-ป็อป

26 Jun 2023

หลังจากที่วงอัลเทอร์เนทีฟ-ป็อปดาวรุ่งแห่งแคนาดาอย่าง "Valley" ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จากทั้งผลงานที่มียอดสตรีมรวมกันสูงถึง 630 ล้านสตรีม บน Spotify ทั่วโลก จนพวกเขาได้ทัวร์คอนเสิร์ตกับศิลปินดังอย่าง "Dermot Kennedy" และได้เรียกน้ำย่อยให้แฟนๆ ผ่านซิงเกิลล่าสุดอย่าง "Have a Good Summer (Without Me)" ซึ่งกลายเป็นเพลงแห่งซัมเมอร์นี้ไปแล้ว คราวนี้ "Valley" ได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยอัลบั้มล่าสุดอย่าง "Lost in Translation" ภายใต้การดูแลของค่ายเพลงคุณภาพอย่าง "Capitol Records/Universal Music Canada" โดยอัลบั้มนี้ไม่ได้มีดีเพียงซิงเกิลฮิตอย่าง "Have a Good Summer (Without Me)" หรือ "Break for You" และ "Throwback Tears" เท่านั้น แต่อัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Natural" ซึ่งมีทั้งเนื้อเพลงที่โดนใจ และดนตรีที่ติดหูจนยากจะปฏิเสธด้วย

"Valley" เปิดตัวอัลบั้มใหม่ "Lost in Translation" ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ทั้งสุขและเศร้า ผ่าน 15 เพลง โดนใจวัยรุ่นสายอินดี้-ป็อป

อัลบั้ม "Lost in Translation" เปิดตัวด้วยอินโทร "Theme" ที่มีทำนองสนุกๆ เตรียมพร้อมให้แฟนๆ อินกับเพลงต่อๆ ไปที่ถูกร้อยเรียง ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ตรงของศิลปินอย่างสวยงาม และลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเพลง "I Haven't Seen You in Forever" ที่มีเนื้อเพลงสุดจี๊ดอย่าง "Everything's changed / But maybe not in the right way" หรือเพลง "Either Way, I'm Going Your Way" ซึ่งสะท้อนภาพความรักแบบคิ้วท์ๆ ตามสไตล์วัยรุ่น Gen-Z มากไปกว่านั้น อัลบั้มนี้ยังมีเพลง "We Don't Need Maliibu" รวมถึง "Keep My Stuff" เพลงบัลลาดสุดซึ้ง และยังมี "Big Jet Plane" ที่สะท้อนความสัมพันธ์แบบ hate-love ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ "Valley" ยังมีเพลง "Fishbowl" และ "Bittersweet Symphony" ซึ่งพร้อมจะเล่นกับความรู้สึกของผู้ฟังอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย นอกจากนี้เพลง "Watery Brain" ยังช่วยสร้างสีสันให้อัลบั้ม "Lost in Translation" ด้วยกลิ่นอายจากอัลบั้มก่อนหน้าของวงอย่าง "MAYBE" ที่มีเอกลักษณ์ และเพลง "Evenings & Weekends" ซึ่งมีความแปลกใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และตัวตนของ "Valley" ได้อย่างน่าชื่นชม

อย่างไรก็ตาม อีกเพลงหนึ่งที่ทำให้อัลบั้ม "Lost in Translation" มีเสน่ห์ และสร้างความประทับใจอย่างล้นเหลือ คือ "Natural" แทร็กโฟกัสแทร็กที่ 5 โดย Alex, Karah, Mickey, Rob กล่าวถึงแทร็กนี้ว่า "การเขียนเพลงรักที่ให้ความรู้สึกที่จริงใจและง่ายดาย ถือเป็นสิ่งที่มีความท้าทายที่พวกเราต้องเผชิญอยู่เสมอในฐานะวงดนตรี ฐานะนักแต่งเพลง ในพื้นที่แห่งนี้ คุณจะรู้สึกง่ายกว่ามากเมื่อคุณรุ้สึกว่าคุณต้องทำ เพราะมีบางสิ่งถ่วงคุณให้คุณรู้สึกเศร้าอยู่ แต่กับอัลบั้มนี้มันแตกต่างออกไป เพลงนี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่เราพูดคุยกับตัวเอง และตระหนักได้ว่า มันโอเคนะที่จะแสดงความรักออกมา เมื่อเราตกหลุมรักใคร มันแทบจะไม่ต้องพยายามเลย เมื่อคุณพบใครคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท คนรักของคุณ เราแค่มีความรู้สึกที่เกิดขิ้นตามธรรมชาติเท่านั้นเอง"

โดยรวมแล้วอัลบั้ม "Lost in Translation" จะเป็นอีกผลงานของ "Valley" ที่เชื่อว่าแฟนๆ สายอินดี้-ป็อปจะต้องถูกใจแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงที่ถูกเรียบเรียงอย่างแปลกใหม่ ดนตรีที่ติดหู และเรื่องราวของตัวศิลปินที่ทำให้อัลบั้มนี้น่าติดตามมากขึ้น จนไม่สามารถกดข้ามเพลงใดเพลงหนึ่งในอัลบั้มนี้ไปได้เลย โดยเฉพาะเพลงอย่าง "Natural" ที่เป็นเพลงชูโรงของอัลบั้ม ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังทุกคนประทับใจได้อย่างแน่นอน

เกี่ยวกับ "Valley""Valley" เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟ-ป็อปจากแคนาดา ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "Juno Awards" ซึ่งมีสมาชิก 4 คน ได้แก่ "Rob Laska" (นักร้องหลัก), "Mickey Brandolino" (กีตาร์,ซินธ์), "Alex Dimauro" (เบส), และ "Karah James" (กลอง, นักร้อง) โดยพวกเขาได้ผลิตผลงานที่มีจังหวะหนักแน่นและมีจังหวะที่แปลกใหม่ และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา "Valley" ได้ปล่อยซิงเกิลและ EP อย่างต่อเนื่อง จนได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ฟังทั่วโลก ซึ่งหลายเพลงก็ฮิตติดชาร์ตทั้งในสหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

ในปี 2016 "Valley" ได้ถูกก่อตั้งโดยบังเอิญ เมื่อมีสตูดิโอทัองถิ่นในแคนาดาจองตัวสมาชิกวงให้แสดงพร้อมกัน โดยขณะนั้น เป็นช่วงมัธยมปลายที่ "Mickey" และ "Karah" เล่นดนตรีด้วยกัน ในขณะที่ "Rob" และ "Alex" เล่นกับวงอื่นอยู่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้รวมตัวกัน และเปิดตัวต่อสาธารณชนในนาม "Valley" ด้วย EP อย่าง "This Room Is White" ในปี 2016 ตามมาด้วยอัลบั้มเต็มอย่าง "MAYBE" ในปี 2019 ตามมาด้วย "sucks to see you doing better" ในปี 2020 และ "Last Birthday" ในปี 2021

และด้วยการปล่อยเพลงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้พวกเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "Juno Awards" และคำชื่นชมจากสื่อหลายสำนัก อาทิ "Earmilk," "Wonderland," "American Songewriter" รวมถึง "CBC" มากไปกว่านั้น ซิงเกิล "Like 1999" ของพวกเขายังได้รับการรับรองระดับ Gold และเปิดตัวในชาร์ตระดับโลก หลังจากเป็นไวรัลบน TikTok ด้วย

"Valley" เป็นที่รู้จักจากการแสดงสดที่ทรงพลังและสนุกสนาน พวกเขาเคยแสดงเปิดให้กับศิลปินอย่าง "Lennon Stella," "The Band CAMINO" และ "Arkells" อีกทั้งยังเคยแสดงในเทศกาลดนตรีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น "The Governors Ball," "Slow Life," "Slow Live Festival," "Wunderstruck," และ "Life Is Beautiful" และเมื่อปีที่แล้ว ตั๋วคอนเสิร์ตของพวกเขาในฐานะศิลปินหลักในอเมริกาเหนือก็ขายจนเกือบหมดด้วย

เมื่อปีที่ผ่านมา "Valley" ได้แสดงให้เห็นว่า การทำงานหนักของพวกเขาได้สัมฤทธิ์ผลอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการได้เป็นส่วนหนึ่งของ "Apple Music's Up Next Artist" พร้อมกับการปล่อย "Apple Music Home Session" และ "Spotify Singles Session" รวมถึงการแสดงที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ต "#LiveAtHome" ของ "Stephen Colbert" ที่เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกบนทีวีในสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขาได้เปิดตัวงานเริ่มต้นการแข่งขันกีฬาแคนาดาที่ใหญ่ที่สุด "Grey Cup" เมื่อปี 2022

ฟังเพลง "Natural" ได้ที่นี่: https://ValleyTH.lnk.to/NaturalPRฟังเพลงจากอัลบั้ม "Lost in Translation" ได้ที่นี่: https://valleyth.lnk.to/LITPR

"Valley" เปิดตัวอัลบั้มใหม่ "Lost in Translation" ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ทั้งสุขและเศร้า ผ่าน 15 เพลง โดนใจวัยรุ่นสายอินดี้-ป็อป