วิกฤติน้ำทวีความรุนแรง: งานวิจัยโดยมินเทลเผยผู้คนทั่วโลกเริ่มวิตกปัญหาขาดแคลนน้ำมากขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

วิกฤติน้ำทวีความรุนแรง: งานวิจัยโดยมินเทลเผยผู้คนทั่วโลกเริ่มวิตกปัญหาขาดแคลนน้ำมากขึ้น

วิกฤติน้ำทวีความรุนแรง: งานวิจัยโดยมินเทลเผยผู้คนทั่วโลกเริ่มวิตกปัญหาขาดแคลนน้ำมากขึ้น
  • ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก 49% ในขณะนี้เชื่อว่าประเทศของตนกำลังประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยชาติที่วิตกมากที่สุดคืออินโดนีเซียที่ 60%
  • กิจกรรมเชิงอนุรักษ์สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ผู้บริโภคของภูมิภาคนี้อย่างมาก กว่า 58% กล่าวว่ากิจกรรมเชิงอนุรักษ์กระตุ้นให้พวกเขาตระหนักรู้ถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 46%
  • มลภาวะพลาสติกหลุดจาก 3 อันดับแรก ของรายการปัญหาที่น่าวิตกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก

ข้อมูลงานวิจัยใหม่จาก Mintel's annual Global Outlook on Sustainability* ชี้วิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภครู้สึกวิตกเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว วิกฤติน้ำทวีความรุนแรง: งานวิจัยโดยมินเทลเผยผู้คนทั่วโลกเริ่มวิตกปัญหาขาดแคลนน้ำมากขึ้น

จำนวนผู้บริโภคทั่วโลกที่จัดอันดับให้วิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำติด 3 อันดับแรกของปัญหาสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี 2022 เป็น 35% ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ผู้คนหันมาวิตกเพิ่มขึ้นถึง 13% และนับเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในปีที่ผ่านมา โดยในปี 2021 มีผู้บริโภคทั่วโลกไม่ถึง 3 ใน 10 (หรือ 27%) ที่วิตกเรื่องการขาดแคลนน้ำ

ความกลัวต่อการขาดแคลนน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มลภาวะพลาสติกหลุดจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรก โดยความกังวลต่อปัญหามลภาวะพลาสติก (เช่น ขยะพลาสติกในมหาสมุทร) ลดลงจาก 36% ในปี 2021 มาเป็น 32% ในปี 2023

สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีน (37%), เกาหลีใต้ (34%), และอินโดนีเซีย (32%) เป็นประเทศที่แสดงความวิตกสูงสุดในเรื่องการขาดแคลนน้ำ ในขณะเดียวกัน ความวิตกเรื่องการขาดแคลนอาหารจากภัยแล้งหรือผลผลิตตกต่ำยังมีอัตราสูงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในญี่ปุ่นและออสเตรเลีย (28%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 25%

แม้ความวิตกต่อการขาดแคลนน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาที่ผู้คนทั่วโลกกังวลมากที่สุด โดยไทยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับทั่วโลกอยู่ที่ 47% ในปี 2023 ส่วนอินเดียมีความวิตกในอัตราที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาคจาก 31% ในปี 2021 เป็น 44% ในปี 2023

ผู้บริโภคทั่วโลกมากกว่าครึ่ง (51%) เชื่อว่าประเทศของตนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเพิ่มขึ้นจาก 44% ในปี 2021 โดยชาวอินโดนีเซียคิดว่าประเทศของตนกำลังประสบปัญหามากที่สุด (60%) ในขณะที่คนญี่ปุ่นมีความวิตกลดลงจาก 44% ในปี 2022 มาเป็น 40% ในปี 2023

ริชาร์ด โคป ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเทรนด์โลก แห่ง Mintel Consulting กล่าวว่า "การให้ความสำคัญกับการขาดแคลนน้ำเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรกสำหรับผู้บริโภค สะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดเรื่องน้ำกำลังเกิดขึ้นจริงทั่วโลก การที่ปัญหาการขาดแคลนน้ำไต่จากอันดับ 5 ขึ้นมาที่ 3 ในรายการปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นตัวบ่งชี้ว่าผลกระทบนั้นเกิดขึ้นโดยตรงกับผู้คนจริง ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญหาอื่น ๆ ที่เราได้รับฟังข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก สิ่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ความวิตกด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนเพื่อการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ อย่างการขาดแคลนน้ำและอาหาร และเกิดเป็นแรงปรารถนาที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อการฟื้นฟูโลกในอนาคต ในขณะที่มลภาวะพลาสติกยังคงเป็นข้อกังวลหลัก แต่ผู้บริโภคก็เริ่มกังวลเรื่องนี้น้อยลง เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับตนเองมากกว่า ทั้งยังได้รับทราบว่ายังมีปัญหาอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษมากกว่าอีกด้วย"

กิจกรรมเชิงอนุรักษ์สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ผู้บริโภคของภูมิภาค

อีกหนึ่งหัวข้อที่มีการโต้เถียงกันบ่อยครั้ง โดยงานวิจัยของมินเทลได้สำรวจถึงผลกระทบของกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ พบว่า 46% ของผู้บริโภคทั่วโลก** ยอมรับว่านักเคลื่อนไหวเชิงอนุรักษ์สามารถสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของพวกเขาได้มากขึ้น กิจกรรมโลกร้อนเพื่อสร้างการตระหนักรู้ ส่งผลกระทบที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยประเทศที่รายงานผลกระทบสูงสุดคืออินโดนีเซีย (80%) ไทย (74%) และอินเดีย (69%) และในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสำคัญแก่กลุ่มนักเคลื่อนไหว ชาวออสเตรเลียเกือบครึ่ง (48%) ระบุว่านักเคลื่อนไหวเชิงอนุรักษ์ที่สร้างความปั่นป่วน (เช่น ปิดกั้นการจราจร) ควรถูกลงโทษโดยหน่วยงานรัฐบาล

"แน่นอนว่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสามารถสร้างผลกระทบได้จริง และได้รับการมองว่าเป็นนักประท้วงที่ถูกต้องตามกฎหมายในหลายประเทศ โดยการวิจัยของเราชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมได้รับการต้อนรับในหลายประเทศในฐานะผู้ให้การศึกษาแก่ผู้คน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียแปซิฟิกและละตินอเมริกา นักเคลื่อนไหวยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟอกเขียวธุรกิจแบรนด์ต่าง ๆ ในขณะที่นักเคลื่อนไหวพยายามให้ความรู้ด้านพลังงาน การจัดหาทรัพยากร และสัดส่วนการปล่อยมลพิษ เหล่าผู้บริโภคก็เริ่มหันมาพิจารณากลั่นกรองข้อมูลของผลกระทบที่เคยได้รับมาอย่างรอบด้านมากขึ้นด้วย" ริชาร์ด โคป กล่าวเสริม

ผู้บริโภคไม่เชื่อว่าการชดเชยคาร์บอนเป็นการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง

ในขณะเดียวกัน เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคและของบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มไม่สัมพันธ์กัน โดยผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกเกือบสองในสาม (65%) ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาโปรแกรมชดเชยคาร์บอนที่อยู่นอกเหนือจากธุรกิจของตนเอง นอกจากนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากในออสเตรเลียและเกาหลีใต้ (41% และ 37% ตามลำดับ) รู้สึกไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ของบริษัทต่าง ๆ ในเรื่องข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อถามบรรดาผู้บริโภคถึงสิ่งที่จะกระตุ้นให้พวกเขาพิจารณาซื้อผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคทั่วโลกราว 41% ระบุว่าพวกเขามองหาคะแนนที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงใด (เช่น รหัสสี หรือคะแนน 1-5) ซึ่งทำให้เห็นว่าระบบการติดฉลากรหัสสีแบบ Nutriscore

 ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคในเรื่องนี้

"การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า เมื่อพิจารณาในระดับโลก ผู้บริโภคไม่ต้องการให้แบรนด์ต่าง ๆ ใช้วิธีการชดเชยคาร์บอน แม้โครงการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าจะถือเป็นเกณฑ์พื้นฐานของโครงการคาร์บอนเครดิตที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ในการยืนยันความเป็นกลางทางคาร์บอนของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของตน แต่รายงานข่าวของสื่อมวลชนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาในการตรวจสอบความถูกต้องของโครงการเหล่านี้ ทำให้สาธารณชนเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ลงมือทำและลงทุนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรงด้วยตนเอง

"สืบเนื่องจากความสำเร็จของระบบสีสัญญาณไฟจราจรเพื่อบ่งชี้ข้อมูลโภชนาการของอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้ผู้บริโภคเรียกร้องให้แบรนด์ต่าง ๆ หันมาใช้ระบบที่คล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาคิดจะซื้อได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น" ริชาร์ด โคป กล่าว

ผู้บริโภคเรียกร้องรัฐบาลสร้างแรงจูงใจในเรื่องนี้

ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกราว 4 ใน 10 (44%) ยอมรับว่าประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่มีแรงจูงใจทางการเงินมากพอในการติดตั้งนวัตกรรมด้านพลังงานใหม่ ๆ ในบ้านของตน (เช่น เงินอุดหนุนเพื่อติดตั้งปั๊มความร้อน ฉนวน หรือแผงโซลาร์เซลล์) เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 34% โดยผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (46%) ยังเชื่อว่าประเทศของตนเสนอสิ่งจูงใจทางการเงินมากพอในการเช่า/ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์/วงเงินกู้ การติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้าน) โดยจีนและอินเดียถือเป็นผู้นำในเรื่องนี้ที่ 61% ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดในงานวิจัยของมินเทล

"แม้ผู้บริโภคจำนวนมากยังสนับสนุนกฎระเบียบและข้อห้ามของรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้ทุ่มเทในการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมมากพอ โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานสะอาดและการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น" ริชาร์ด โคป กล่าวสรุป

*ข้อมูลลำดับความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พฤติกรรมการซื้อ การมีส่วนร่วม และระดับความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนของผู้บริโภคใน 16 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย

**ไม่รวมประเทศจีน

การศึกษา Global Outlook on Sustainability: A Consumer Study ประจำปี 2023 ของมินเทล อธิบายถึงลำดับความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พฤติกรรมการซื้อ การมีส่วนร่วม และระดับความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนของผู้บริโภคใน 16 ประเทศ ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการวิจัยและแนวทางที่มินเทลสามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่นี่ สามารถขอเอกสารงานวิจัยและบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมของริชาร์ด โคป ได้ที่ Mintel Press Office


ข่าวเอเชียแปซิฟิก+อินโดนีเซียวันนี้

ฟิลิปส์เผยโฉมนวัตกรรมการดูแลรักษาโรคหัวใจแห่งอนาคต ในงานประชุมวิชาการระดับภูมิภาค 'APAC Cardiology Symposium 2025'

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก จัดงานประชุมวิชาการด้านโรคหัวใจระดับภูมิภาค "APAC Cardiology Symposium 2025" ครั้งที่ 10 ณ โรงแรมคอนราด กรุงเทพมหานครฯ โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ แพทย์มัณฑนากรหัวใจและหลอดเลือด นักรังสีวิทยา และพยาบาล จากโรงพยาบาลชั้นนำจาก 8 ประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กว่า 100 คน เข้าร่วมงาน ภายในงานฯ

และ Blue by Alain Ducasse คว้า Top 100 ร้... สยามพารากอน ยืนหนึ่งแลนด์มาร์กระดับโลก คว้ารางวัล ICONIC THAI BRAND AWARD จาก Tatler Asia — และ Blue by Alain Ducasse คว้า Top 100 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเ...