SCB CIO เชื่อว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% หลังประชุมในวันที่ 26 ก.ค. นี้ มอง2-3 เดือนข้างหน้า เป็นโอกาสสุดท้ายเก็บพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 5-10 ปีเข้าพอร์ต ก่อน Bond Yield ปรับลดลง แนะใช้จังหวะนี้ลงทุน RMF-SSF เพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เน้นลงทุนพันธบัตรรัฐบาลเข้าพอร์ต
                                                                                                                                        นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 25-26 ก.ค. 2566 นี้ SCB CIO คาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5.25-5.50% และอาจเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ สำหรับเหตุผลที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในการประชุมรอบนี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว เพียงแต่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน มิ.ย. ขยายตัว 4.8%เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการขยายตัวในเดือนพ.ค.แต่ก็ยังถือว่าลงช้า ขณะที่ ตลาดแรงงาน ก็ยังมีการจ้างงานที่แข็งแกร่งอยู่ ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นเรามองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567
"ถ้าเฟดปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ แล้วสื่อสารว่าจะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ตลาดอาจจะตกใจบ้าง แต่คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) คงปรับขึ้นได้ไม่มาก แต่หากเฟดออกมาสื่อสารสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่คงอัตราดอกเบี้ยระดับนี้ไปจนถึงปีหน้า คาดว่า Bond yield จะเริ่มทยอยปรับลดลง ซึ่งก็จะทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น ดังนั้น เรามองว่าแนวโน้ม 6 เดือนถึง 1 ปี หลังจากนี้ Bond yield จะปรับลดลง แต่ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เป็นโอกาสสุดท้ายในการเข้าสะสมพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 5-10 ปีจึงเป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)หรือกองทุนรวมเพื่อการออม(SSF)ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ " นายศรชัย กล่าว
ส่วนการลงทุนเพื่อเป้าหมายที่มีระยะเวลาไม่ยาวมาก และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการลดหย่อนภาษี เรามองว่า อาจนำเงินดอลลาร์สหรัฐ ไปลงทุนผ่านกองทุนรวมตลาดเงิน (money market) ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนในระดับ 5% และคาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ในระดับสูงไปอีก5-6 เดือนข้างหน้า หลังจากนั้น ผลตอบแทนจะเริ่มลดลงเร็ว ส่วนกรณีที่มีความกังวลเรื่องการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อแลกคืนเป็นเงินบาท จากการแข็งค่าของเงินบาท ผู้ลงทุนสามารถลดความกังวลนี้ได้ด้วยการคงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ในพอร์ตการลงทุนต่างประเทศ หรืออาจเก็บสะสมเงินดอลลาร์สหรัฐไว้ใช้จ่ายในอนาคต
สำหรับการลงทุนในหุ้น เรามองว่า นักลงทุนในตลาดรับรู้สถานการณ์ของเฟดค่อนข้างดี สะท้อนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มผันผวนน้อยลง เริ่มเห็นสัญญาณของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ แม้ว่าจะราคสูงแต่ก็ยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการรส่งสัญญาณว่า ตลาดมองจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มากขึ้น เพราะบางบริษัทราคาปรับขึ้นมา 50% จากต้นปี ทำให้มูลค่าค่อนข้างแพง หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า อาจทำให้เกิดการปรับฐานในหุ้นกลุ่มนี้ได้
SCB CIO แนะนำว่า การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้สับเปลี่ยนจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความทนทานเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer staples) เนื่องจากรายได้บริษัทในกลุ่มนี้ค่อนข้างรับมือเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ทั้งยังมีความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดี นอกจากนี้ นักลงทุนอาจเพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไปในพอร์ต 5-10% ของพอร์ตโดยรวม เช่น ทองคำ ซึ่งป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
สำหรับการลงทุนในไทย มองว่า ด้วยภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อาจมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แต่โดยภาพรวมยังเป็นบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ ดังนั้น จะส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ส่วนในระยะสั้นอาจมีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนพอสมควร เช่นประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่ชัดเจน จึงแนะนำให้รอดูสถานการณ์ก่อน แล้วค่อยพิจารณาลงทุนเพิ่มเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนขึ้น สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจเราแนะนำให้คัดเลือกกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน เมื่อนักท่องเที่ยวจีนกลับมา จะทำให้การท่องเที่ยวคึกคักขึ้น หนุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มธนาคารที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น
                            
                            กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ค่าเงินบาทประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568
                        
                            ศึกใหญ่เปิดสนาม! SANSIRI ARENA: แชมป์เปี้ยนดีล ลดสูงสุด 10 ล้าน* แสนสิริลุยเต็มสูบ ยกสนามกีฬามาไว้ใจกลางมหกรรมบ้านและคอนโด
                        
                            SCB ตอกย้ำผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง เปิดตัว "มณี รับทรัพย์" ตัวช่วยแจ้งเตือนร้านค้าเมื่อมีเงินเข้าผ่าน QR Code มั่นใจเงินเข้าบัญชีได้ชัวร์ ไม่ต้องรอเช็กยอด
                        
                            ไทยพาณิชย์ คว้า 4 รางวัลใหญ่ระดับสากลด้าน AI ยืนหนึ่งผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้ง มุ่งสู่ AI-First Bank เต็มรูปแบบ
                        
                            วีซ่า จับมือ SCB และ Soft Space อัปเวลประสบการณ์ใช้จ่ายให้นักท่องเที่ยว ด้วย "Tap to Pay" แตะจ่ายง่าย นำร่องแหล่งชอปปิงทั่วกรุง
                        
                            กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ โดยธนาคารไทยพาณิชย์จับมือ NECTEC และ VISTEC ดึงศักยภาพเยาวชนสายวิทย์ทำโครงงาน "นวัตกรรมสีเขียวสู่ความยั่งยืนในยุค AI"
                        
                            SCB FM มองเงินบาทในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าหาก US shutdown จบลงเร็ว แต่มองว่าบาทจะยังกลับมาแข็งค่าได้ในระยะต่อไป
                        
                            SCB WEALTH จับจังหวะดอลลาร์อ่อน เปิดขาย SCBUSDABSAP วันที่ 7-15 ต.ค.นี้ เน้นลงทุนในหุ้นเอเชียแปซิฟิกด้วยสกุลUSDมุ่งสร้างผลตอบแทนทุกสภาวะตลาด
                        
                            "Skill Shift: Build Smart. Work Smarter." มจธ. ผนึกกำลังธนาคารไทยพาณิชย์ปั้นแรงงานไทยพร้อมรับมืออนาคตการทำงานยุค AI