สคร.12 สงขลา เตือนระวัง "โรคไอกรน" แนะผู้ปกครองพาบุตรหลานฉีดวัคซีนตามเกณฑ์

03 Oct 2023

สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา เตือน ระวัง "โรคไอกรน" หากมีอาการไข้ต่ำ ๆ มีน้ำมูก ไอผิดปกติ ไอเป็นชุด ๆ ติดต่อกัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น จนทำให้หายใจไม่ทัน หายใจมีเสียงดังวู๊ป ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแนะผู้ปกครองพาบุตรหลานฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด

สคร.12 สงขลา เตือนระวัง "โรคไอกรน" แนะผู้ปกครองพาบุตรหลานฉีดวัคซีนตามเกณฑ์

นายแพทย์เฉลิมพล โอสถพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคไอกรนในระบบรายงาน 506 (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 18 กันยายน 2566) ทั้งหมด 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ ต่ำกว่า 1 ปี (ร้อยละ 46.15) สำหรับเขตสุขภาพที่ 12 พบผู้ป่วยยืนยัน 2 ราย เสียชีวิต 1 ราย ในจังหวัดปัตตานี

โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (B. pertussis) ทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม สัมผัสกับสารคัดหลั่งและเครื่องใช้ของผู้ป่วย ส่วนใหญ่พบการติดเชื้อในเด็ก ซึ่งอาการของโรคไอกรนในเด็กอาจรุนแรงมากจนทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาการของโรคจะแสดงหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 6 - 20 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ มีน้ำมูก และไอ โดยอาจเป็นต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการสำคัญของโรคคือ ไอเป็นชุด ๆ ถี่ ๆ ติดกัน 5 - 10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น จนทำให้ผู้ป่วยหายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และพยายามหายใจเข้าลึก ๆ และมีเสียงดังวู๊ป สลับกับการไอเป็นชุด ทั้งนี้อาการที่กล่าวมาอาจเป็นเรื้อรังติดต่อกันนานถึง 2 - 3 เดือน

หากมีผู้ป่วยไอกรน ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อผ่านน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ในผู้สัมผัสโรคควรสังเกตว่ามีอาการไอหรือไม่ ติดตามอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ส่วนเด็กที่สัมผัสโรคใกล้ชิดควรไปรับคำปรึกษาจากแพทย์ แม้จะได้รับวัคซีนป้องกันครบแล้วก็ตาม

นายแพทย์เฉลิมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สคร.12 สงขลา ขอแนะนำให้ประชาชนนำบุตรหลานอายุต่ำกว่า 6 ปี ไปรับวัคซีนให้ครบตามช่วงอายุที่กำหนด ( 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 1 ปีครึ่ง และฉีดเข็ดกระตุ้นเมื่ออายุ 4 ปี) พร้อมเน้นย้ำควรสังเกตอาการของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422