SJWD โชว์ผลงาน Q3/66 แข็งแกร่ง แม้บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากการรับโอนกิจการทั้งหมด ทำกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากไตรมาสก่อนหน้า มั่นใจไตรมาสสุดท้ายเติบโตต่อเนื่องรับดีมานด์ฟื้นตัว

15 Nov 2023

บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ หรือ SJWD โชว์ฟอร์มดันผลงานไตรมาส 3/2566 เติบโตตามแผน ทำรายได้รวม 6,458.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% และ 8.1% จากไตรมาสก่อนหน้า แม้มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวน 96.9 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานได้รับปัจจัยหนุนจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นเพื่อจัดเก็บอาหารทะเลที่กลับสู่ภาวะปกติ การขนส่งถ่านหินที่เพิ่มขึ้น มั่นใจผลงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง จากดีมานด์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น แย้มความคืบหน้าการลงทุนคาดปิดดีลได้เร็ว ๆ นี้

SJWD โชว์ผลงาน Q3/66 แข็งแกร่ง แม้บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากการรับโอนกิจการทั้งหมด ทำกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากไตรมาสก่อนหน้า มั่นใจไตรมาสสุดท้ายเติบโตต่อเนื่องรับดีมานด์ฟื้นตัว

ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 กลับมาเติบโตได้ดีจากไตรมาสก่อนหน้าตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีรายได้รวม 6,458.7 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อนหน้า และสามารถทำกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากไตรมาสก่อนหน้า แม้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวน 96.9 ล้านบาท จากการรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทย่อยมาเป็นของบริษัทฯ ภายหลังเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัทเอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ตามแผนการรวมกิจการ โดยค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าวเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

ปัจจัยการเติบโตของผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกบริการใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ที่มีรายได้ 5,617.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าที่เติบโตโดดเด่น ทำรายได้ 1,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการความต้องการใช้บริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Car) และอัตราการเช่าพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงระดับ 70% หลังจากดีมานด์จัดเก็บปลาทูน่าและอาหารทะเลกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าที่มีความต้องการขนส่งถ่านหินเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อื่น ๆ มีรายได้ 726.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีบริการขนย้าย ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า และตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า (Freight Forwarder) ที่มีอัตราเติบโตโดดเด่น ส่วนธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้ามีรายได้ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า และ (2) กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ เช่น บริการซัพพลายเชนอาหาร, จัดหาสินค้า, การลงทุน, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น มีรายได้ 798.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ภาพรวมส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศอยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า ยกเว้นส่วนแบ่งกำไรจาก Transimex ในประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเป็น 22.9 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 8.3 ล้านบาท จากสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 17,600.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 299.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 500.3 ล้านาท เพิ่มขึ้น 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากทุกธุรกิจภายหลังการรวมกิจการกับบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวว่า มีความมั่นใจว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 จะเติบโตต่อเนื่องจาก
ไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการใช้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในหลายธุรกิจกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าและธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าที่เป็นพอร์ตรายได้หลักของบริษัทฯ การขนส่งถ่านหินที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้นหลังจากราคาในตลาดโลกทยอยลดลงและการขนส่งซีเมนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูการก่อสร้าง รวมถึงบริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่อยู่ระหว่างเสนองานกับลูกค้าใหม่ในกลุ่ม EV Car ส่วนคลังสินค้าห้องเย็นคาดว่าจะมีดีมานด์จัดเก็บปลาทูน่าและอาหารทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจตัวแทนนำเข้าและส่งสินค้า (Freight Forwarder) คาดว่าจะได้รับผลดีจากการเริ่มปรับขึ้นค่าบริการ

ส่วนความคืบหน้าแผนลงทุนขยายธุรกิจ ปัจจุบันมีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาและมีแนวโน้มที่จะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานปี 2567 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงพิจารณาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตและมุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเป็น 100,000 ล้านบาทในปี 2570