ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผนึกกำลังภาครัฐ - นักวิชาการแพทย์ เร่งขับเคลื่อนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผนึกกำลังภาครัฐ - นักวิชาการแพทย์ เร่งขับเคลื่อนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หวังประชาชนกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมในทุกช่วงวัย เพื่อลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิต จากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผนึกกำลังภาครัฐ - นักวิชาการแพทย์ เร่งขับเคลื่อนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

เนื่องในวันที่ 10 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น "วันแห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก" (World Immunization Day) หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายภาครัฐและเอกชน อาทิ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย และกรมควบคุมโรค ต่างให้ความสำคัญเพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และต่างร่วมมือร่วมใจผนึกกำลังในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเพิ่มความครอบคลุมการฉีดวัคซีน เพื่อเป้าหมายสูงสุดของทุกหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่มุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดี และได้รับการป้องกันโรคที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย

รศ.นพ. สุรสิทธิ์ ชัยทองวงศ์วัฒนา ผู้แทนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า "ด้วยนโยบายตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ในการดำเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในประเทศไทย โดยการฉีดวัคซีนสำหรับการป้องกันควบคุมโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ในประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก เด็กนักเรียน และในกลุ่มผู้ใหญ่ เพื่อการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้กลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์เพื่อการป้องกันโรค ลดการป่วยที่รุนแรง และลดการเสียชีวิต แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบ จึงส่งผลต่อการให้บริการด้านวัคซีน โดยพบข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทยมีอัตราครอบคลุมการให้บริการฉีดวัคซีนในปี 2564 - 2565 ภาพรวมของการได้รับวัคซีนแต่ละชนิดส่วนใหญ่ลดลงกว่าเป้าหมายที่กำหนด และเมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้สร้างความร่วมมือเพื่อเร่งรัดการให้บริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพื่อเพิ่มความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในทุกกลุ่มเป้าหมายเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถป้องกันการระบาดของโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน"

"ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน หรือ immunization ซึ่งถือเป็นบทบาทที่สำคัญในการดูแลสุขภาพของประชากรในทุกช่วงวัย ในขณะที่มีการเกิดโรคติดเชื้อชนิดใหม่ขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ร่างกายของเราก็มีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด แต่ก็มีเชื้อโรคบางชนิดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจไม่สามารถสร้างขึ้นได้ในการป้องกัน หรือต่อสู้กับโรคนั้น ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพ และรุนแรงอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ และสตรีมีครรภ์ซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์มีภูมิคุ้มกันต่ำลงจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ทารกในครรภ์ก็จะสามารถได้รับภูมิคุ้มกันที่มารดาสร้างขึ้นโดยส่งผ่านทางรก ทำให้ได้รับการปกป้องไปจนกระทั่งหลังคลอดก่อนที่ทารกจะได้รับวัคซีนตามช่วงวัย ปัจจุบัน มีวัคซีนอยู่หลายชนิดด้วยกันซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับเพื่อสุขภาพ และความปลอดภัยทั้งคุณแม่และลูกน้อย แต่วัคซีนที่จะให้ในสตรีตั้งครรภ์ต้องมีความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์ และพัฒนาการของทารกในครรภ์ ดังนั้นสตรีตั้งครรภ์ และสตรีวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับคำแนะนำการได้รับวัคซีนอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อสูงสุด"

"จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงกว่าคนทั่วไป และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมเพิ่มขึ้นทั้งภาวะครรภ์เป็นพิษ เลือดแข็งตัวผิดปกติ และมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้า ICU เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และโอกาสที่อาการหนักจนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจมีมากขึ้นถึง 2.6-2.9 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีมีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า 40 ปี, อ้วน, มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ซึ่งพบอัตราการเสียชีวิตได้ 1.5-8 คนใน 1,000 คน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จึงมีประโยชน์มากในการสร้างภูมิเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสการเสียชีวิต จึงแนะนำให้ฉีดในคุณแม่ทุกคนหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน"

"สำหรับโรคโควิด-19 ซึ่ง ปัจจุบันถึงแม้ว่าสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดอ่อนแรงลง และกลายมาเป็นโรคประจำถิ่น แต่สิ่งที่สามารถลดความรุนแรงของการติดเชื้อได้ คือ การฉีดวัคซีนป้องกัน เพื่อกระตุ้นภูมิ ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทุกชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการรุนแรงของโรค แต่อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้เสมอไป นอกจากนี้การใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วก็ตาม ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของทุกหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่มุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดี และได้รับการป้องกันที่เหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิต" รศ.นพ. สุรสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย


ข่าวมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน+สถาบันวัคซีนแห่งชาติวันนี้

มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่าย ชวนคนรุ่นใหม่ผลิตสื่อออนไลน์ สร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวง เสริมความเชื่อมั่นในวัคซีน

มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ MorDee (หมอดี) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพอัจฉริยะ โดย ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดตัวโครงการ "Shot of Truth สื่อสร้างสรรค์ รู้ทันข่าวลวงด้านวัคซีน" ขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ร่วมประกวดคลิปวิดีโอสั้น

วันที่ 12 พฤศจิกายนเป็นวันปอดอักเสบโลก (W... ผนึกกำลังเตรียมความพร้อมประเทศไทยสู่การป้องกัน 'โรคปอดอักเสบ' หลังโควิด-19 — วันที่ 12 พฤศจิกายนเป็นวันปอดอักเสบโลก (World Pneumonia Day 2022) มูลนิธิวัคซ...

นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการบริ... ภาพข่าว: วัคซีนเพื่อประชาชน สำหรับคนทุกวัย — นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และประธานมูลนิธิวัคซีน...

นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการบริ... ภาพข่าว: วัคซีนเพื่อประชาชน สำหรับคนทุกวัย — นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และประธานมูลนิธิวัคซีน...