กรวิน คลินิก จับมือ MASTER ร่วมพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เล็งเปิด รพ.ศัลยกรรม รองรับลูกค้าคนกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่

07 Mar 2024

"กรวิน คลินิก" จับมือ MASTER ร่วมพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด พร้อมเพิ่มหัตถการใหม่ อาทิ ปลูกผม ดึงหน้า เสริมหน้าอก ตัดหนังหน้าท้อง และดูดไขมัน โชว์จุดเด่นแพทย์เป็นเจ้าของเองและชำนาญการเสริมจมูกเทคนิคปิด เตรียมแผนเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ส่องเทรนด์ความงามเข้าสู่ขาขึ้น เน้นปลอดภัยเป็นธรรมชาติ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 โต 800 ล้านบาท

กรวิน คลินิก จับมือ MASTER ร่วมพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เล็งเปิด รพ.ศัลยกรรม รองรับลูกค้าคนกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่

นายแพทย์กรวิน ศิริโรจนทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เค เมดิคอล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ประกอบการคลินิกศัลยกรรมความงาม ภายใต้แบรนด์ 'กรวิน คลินิก' และ 'รณภีร์ คลินิก' ที่มีจำนวนสาขารวม 47 แห่ง เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับบริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ภายหลังการเจรจาในรายละเอียดข้อตกลงทางธุรกิจร่วมกัน

โดยบริษัทมีโอกาสเพิ่มฐานลูกค้าด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด (Closed Rhinoplasty) พร้อมต่อยอดและขยายบริการเกี่ยวกับหัตถการใหม่ๆ ของกรวินเพิ่ม อาทิ ปลูกผม ดึงหน้า เสริมหน้าอก ตัดหนังหน้าท้อง และดูดไขมัน เป็นต้น ส่วน MASTER สามารถเพิ่มรายได้และได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตของตลาดวงการศัลยกรรมด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

ทั้งนี้ กรวิน คลินิก เป็นหนึ่งในผู้นำด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้เริ่มทำศัลยกรรม ถือเป็นตลาดใหญ่ติด 1 ใน 3 ของตลาดเสริมจมูกเทคนิคปิด โดยกรวิน คลินิก ดำเนินธุรกิจมากว่า 14 ปี มีจุดเด่น คือ แพทย์เป็นเจ้าของเองและมีความชำนาญด้านการเสริมจมูกเทคนิคปิดโดยเฉพาะ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาความงามทั้งใบหน้าและผิวหน้าแบบครบวงจร ออกแบบใบหน้าเคสต่อเคส ดูแลทุกขั้นตอนด้วยแพทย์ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันนาน 12 เดือน

ปัจจุบัน 'กรวิน คลินิก' และ 'รณภีร์ คลินิก' มีจำนวนสาขารวม 47 แห่ง แบ่งเป็น กรวิน คลินิก มีสาขา 34 แห่ง และรณภีร์ คลินิก มีสาขา 13 แห่ง มีพนักงานรวมกว่า 328 คน และแพทย์มีประสบการณ์ผ่านยอดเคสผ่าตัดมากกว่า 200,000 เคส

"สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ กรวิน คลินิก เตรียมเพิ่มหัตถการที่ยังไม่มี เช่น ปลูกผม ดึงหน้า ศัลยกรรมหน้าอก ตัดหนังหน้าท้อง และดูดไขมัน เป็นต้น โดยเฉพาะในสาขาที่เป็นสาขาใหญ่ เช่น ขอนแก่น บางนา และภูเก็ต และรีโนเวทสาขาใหญ่ๆ ตามหัวเมืองให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างที่ขอนแก่น ซึ่งเรามีความตั้งใจให้เป็นโรงพยาบาลสำหรับคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากต้องการจะทำศัลยกรรมก็มีโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถนำเสนอบริการต่างๆ ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการที่ MASTER เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีส่วนสนับสนุนให้ลูกค้ากรวินเกิดความไว้วางใจ" นายแพทย์กรวิน กล่าว

ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามของไทยมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของประเทศไทย น่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 71,000 - 72,000 ล้านบาท ขยายตัวราว 2.3% - 3.6% (YoY) กลับมาฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่มูลค่าดังกล่าวยังไม่กลับไปเท่าก่อนโควิด-19 และตัวเลขการเติบโตในภาพรวมอาจไม่ได้สะท้อนผลประกอบการที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการทุกราย ขึ้นอยู่กับการตอบโจทย์ลูกค้า ทั้งเรื่องของค่าบริการ รสนิยม คุณภาพและมาตรฐานการให้บริการ รวมถึงผลลัพธ์หรือความพึงพอใจในผลงานของแพทย์ นับเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามของไทยเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 2567 อุตสาหกรรมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าอยู่ในช่วงขาขึ้นและเติบโตต่อเนื่อง ตามความนิยมและความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเทรนด์การศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าที่เน้นความเป็นธรรมชาติ สวยดูดีและคงทนในแบบตัวเอง รวมถึงการเลือกสถานพยาบาลด้านคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์ชำนาญการเฉพาะทาง สามารถตอบโจทย์เทรนด์ความงามของผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างลงตัว

พร้อมกันนี้บริษัทเน้นทำการตลาดแนะนำบริการด้านศัลยกรรมความงามกับกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง-ล่าง ซึ่งช่วงต่อจากนี้บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกรวิน คลินิก และรณภีร์ คลินิก คลินิกศัลยกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี ระยอง ให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น เพื่อการันตีได้ถึงการเป็นคลินิกที่อยู่ใกล้แหล่งชุมชน การทำหัตถการมีมาตรฐาน รวมถึงบริการที่มีความสัมพันธ์ดูแลใกล้ชิดกับคนไข้ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท