ปัจจุบัน โลกของเรากำลังได้รับผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ซึ่งเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยทั้งสองปัญหาถูกยกระดับให้เป็นเรื่องระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ ทำให้เวลานี้ ทุกภาคส่วนมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในภาคพลังงาน อย่างการใช้รถยนต์
ที่ผ่านมา ก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามจำนวนรถยนต์สันดาปที่มากขึ้น โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซพิษอื่น ๆ อุตสาหกรรมยานยนต์จึงเริ่มปรับตัวเพื่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ด้วยการเพิ่มรถพลังงานทางเลือกให้กับผู้ใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถพลังงานไฟฟ้า รถไฮบริด รถไฮบริดปลั๊กอิน หรือรถเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ส่วนรถยนต์สันดาปดั้งเดิม ก็มีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ใช้ได้กับเชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อให้เครื่องยนต์ยังคงไปต่อได้ แต่รักษ์โลกมากยิ่งขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมน้ำมันเครื่องก็ปรับตัวเช่นกัน ด้วยการวิจัยและพัฒนาสูตรของน้ำมันเครื่องให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงคุณสมบัติให้เป็นน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง ที่สามารถดูแลเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รถประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซพิษที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคมที่ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ก๊าซเรือนกระจก” มาจากไหน
ก๊าซเรือนกระจก คือตัวการหลักของภาวะโลกร้อน (Global Warming) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น โดยก๊าซเรือนกระจกที่ปกคลุมอยู่ในชั้นบรรยากาศเปรียบเสมือนหลังคาของเรือนกระจก ที่ยอมให้รังสีความร้อนผ่านเข้ามาแต่ไม่สะท้อนกลับออกไป ด้วยลักษณะเช่นนี้ ทำให้เกิดการเก็บกักความร้อน พื้นผิวโลกจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ก๊าซเรือนกระจก มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ อาทิ กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิส การทำการเกษตรและปศุสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า กระบวนการทางอุตสาหกรรม การจัดการของเสีย การใช้พลังงานความร้อน ฯลฯ
โดยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์จะมี 7 ชนิด คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO?) ก๊าซมีเทน (CH?) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N?O) และกลุ่มก๊าซฟลูออริเนต (Fluorinated Gases) กลุ่มก๊าซชนิดนี้ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นก๊าซสังเคราะห์ ประกอบด้วย ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC) สารนี้ถูกนำมาใช้เป็นตัวทำความเย็นแทนสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือซีเอฟซี (CFCs) ที่ทำลายชั้นโอโซน ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF?) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF?)
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นบัญชีแสดงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ โดยต้องรายงานความคืบหน้าต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ทุก 2 ปี ซึ่งข้อมูลของปี 2565 ระบุว่า ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เกิดขึ้นจากภาคพลังงานมากที่สุด มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ร้อยละ 69.06 มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการขนส่งสูงถึงร้อยละ 29.16 นอกจากนี้ ในปี 2557 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นลำดับที่ 20 หรือคิดเป็นร้อยละ 0.77 ของการปล่อยทั้งโลก
ผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกต่อมวลมนุษยชาติ
เวลานี้ ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกร้อน อันเกิดมาจากก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณมากเกินสมดุล พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นต่อเนื่อง จนโลกถึงจุดสิ้นสุดภาวะโลกร้อน และกำลังดำเนินอยู่ในยุคภาวะโลกเดือด (Global Boiling)
การสิ้นสุดยุคโลกร้อนเข้าสู่ยุคโลกเดือด นับเป็นวาระระดับโลกที่ทำให้เราต้องหันกลับมาตระหนักถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างจริงจัง การที่โลกร้อนขึ้นไม่หยุด ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องสภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย ทว่ายังทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกนับไม่ถ้วน ทั้งภัยแล้ง พายุ คลื่นความร้อน การขาดแคลนน้ำ ไฟไหม้ป่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น น้ำท่วม การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอื่น ๆ สร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิต
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เราทุกคนกำลังได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า คือสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาใส่ใจกับมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวอย่างการใช้รถยนต์ เพราะกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ทำให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนในชั้นบรรยากาศมากที่สุด
ดังนั้น การดูแลรักษาเครื่องยนต์ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่ปกป้องเครื่องยนต์อย่างดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้รถได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศอื่น ๆ
บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น ภายใต้แบรนด์ “Idemitsu” จากประเทศญี่ปุ่น มีเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะเดียวกันก็ยังคงประสิทธิภาพในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ ด้วยนวัตกรรมที่ทำให้น้ำมันเครื่องเป็นมิตรทั้งต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ลดสารเคมีอันตราย และใช้สารเพิ่มคุณภาพที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถและเครื่องยนต์
ผลิตภัณฑ์ Idemitsu IFG, IFD และ IRG ซีรีส์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ชูนวัตกรรมการขับเคลื่อนสังคมสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ด้วยการลดและชดเชยคาร์บอน อีกทั้งยังถูกพัฒนาให้เป็นน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงที่ช่วยดูแลรักษาเครื่องยนต์เป็นอย่างดี ชะลอการสึกหรอ ลดการกัดกร่อน ระบายความร้อน ทำความสะอาดเครื่องยนต์ ช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ ทำให้รถของคุณประหยัดการใช้พลังงาน ประหยัดทรัพยากร ลดการปล่อยมลพิษ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องจากอิเดมิตสึ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งออกแบบมาเพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 14001:2015 ด้านระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน มาตรฐาน ISO 50001:2018 ด้านระบบการจัดการด้านพลังงานในองค์กร รวมถึงรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จากกระทรวงอุตสาหกรรม
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด ยังเล็งเห็นความสำคัญในการลดการปล่อยและเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตด้วย โดยมีการจัดทำเป็นรายงานบัญชีรายการปริมาณก๊าซเรือนกระจก และตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนในองค์กร 10% ภายในปี 2578 (ค.ศ. 2035) เป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ให้ได้ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
โดยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด ได้รับใบรับรองว่าเป็นองค์กรที่ได้ขึ้นทะเบียนและขอรับรองการแสดงปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในปี 2565 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดและแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกในองค์กร รวมถึงดำเนินกิจกรรมปลูกป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มต้นไม้สีเขียวที่จะดูดซับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ไปเป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสังเคราะห์แสง
จากความมุ่งมั่นของ บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น ภายใต้แบรนด์ “Idemitsu” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องและน้ำมันหล่อลื่นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งจากกระบวนผลิต กิจกรรมในองค์กร และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เห็นถึงความตั้งใจที่ไม่เพียงแต่ปกป้องเครื่องยนต์ในรถคู่ใจของคุณ แต่ยังลดการทำลายโลกด้วย นับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยที่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
TCMA ชูศักยภาพ "Co-Processing" หนุนเป้าหมาย NDC 3.0
TEI ผนึก กรมบัญชีกลาง อบก. กรมควบคุมมลพิษ เซ็น MOU ดัน "จัดซื้อจัดจ้างสีเขียว" ปั้นตลาดภาครัฐสู่ Net Zero
SPRC สรุปผลดำเนินงาน CSR ปี 68 ทุ่มงบ 14.5 ล้านบาท สร้างคุณค่า 4 มิติหลัก ย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero และการเติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน
WICE คว้า ISO 14064-1:2018 ตอกย้ำผู้นำโลจิสติกส์สีเขียว มุ่งสู่ Net Zero พร้อมรับกฎหมายสภาพภูมิอากาศ
หลัง COP30 ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับห่วงโซ่อาหาร สู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน
QTC รับโล่ประกาศเกียรติคุณ CALO
ม.วลัยลักษณ์ ประกาศเจตนารมณ์ "มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" ภายในปี 2030
เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดตัว EV Bike รุ่นใหม่ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สู่มาตรฐาน ESG ยกระดับการขนส่งสีเขียว
"แอล ดับเบิลยู เอสฯ" แนะ ภาคอสังหาฯ ใช้วัสดุคอนกรีตก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero ในปี 2608