BGC ประกาศผลงาน Q2/67 มีรายได้ 3,646 ลบ. เพิ่มขึ้น 4% กำไรสุทธิอยู่ที่ 77 ลบ. โต 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานปรับลดลง การบริหารจัดการต้นทุนรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นยังเติบโตต่อเนื่อง หนุนยอดขายงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 7,435 ลบ. โต 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โกยกำไรสุทธิ 174 ลบ. เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้านผู้บริหารส่งซิก H2/2567 ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินของบริษัทในงวดไตรมาส 2/67 มียอดขายอยู่ที่ 3,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท หรือ 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรายได้จากการขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว 2,978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1% สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายของกลุ่มส่งออกที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่น จำนวน 707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท หรือ 10% จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นแล้วและธุรกิจใหม่ในการซื้อมาขายไป หรือ ธุรกิจ Trading นอกจากนี้การเข้าถือหุ้น 75% ในบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัท
โดยในงวดไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวลดลง การรักษาระดับกำไรและการบริหารจัดการต้นทุน รวมทั้งการขยายผลจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต
“ไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152 ล้านบาท หรือ 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.2% เพิ่มขึ้น 500 bps สาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบ ราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นหลังจากการซ่อมแซมเตาหลอมแก้วแบบเย็น (Cold Repair) ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งบริษัท ได้มีการบริหารจัดการต้นทุน โดยมุ่งเน้นการทำ cost optimization และปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ปรับใช้พลังงานทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการขยายผลการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ” นายศิลปรัตน์ กล่าว
ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 7,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 7,235 ล้านบาท มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบและพลังงานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยแผนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว บริษัทฯ มีการคัดเลือกผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี เน้นให้ความสำคัญในการขยายตลาดส่งออก และการหาลูกค้าใหม่ พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนไปในอนาคต
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด (Prime) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มที่เข้าไปซื้อหุ้น 75% ในเดือนเมษายน ปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มในประเทศไทย เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ Flexible Packaging มีรายได้เป็นไปตามคาดประมาณ 100 ล้านบาทต่อไตรมาส ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายหรือ Prime B ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าปีนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นอย่างต่อเนื่อง
“BGC พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตด้วย Total Packaging Solutions ที่ให้บริการบรรจุภัณฑ์กับลูกค้าอย่างครบวงจร เราไม่เพียงแค่รับผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว แต่ยังนำเสนอบริการอื่นให้แก่ลูกค้าเพื่อเลือกซื้อฉลากหรือบรรจุภัณฑ์อื่นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็น One Stop Service ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจและสร้าง New S - Curve บริษัทฯ ยังได้มีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ราว 5% เพื่อสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจของบริษัทอีกด้วย” นายศิลปรัตน์ กล่าว
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ด้วยยอดขาย 29,789 ล้านบาท และทำอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวดีมาอยู่ที่ 18.8 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการเติบโตในไตรมาสแรก พร้อมด้วยการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องทำให้ไทยยูเนี่ยนมีงบดุลที่แข็งแกร่ง นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมในการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่าย
"กรุงไทยรัก Smart University" เดินหน้าเสริมทักษะเยาวชนไทยสู่ความมั่นคงทางการเงิน
—
ในยุคที่เศรษฐกิจไทย ยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน จากปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเ...
ซินเน็คฯ ได้รับใบประกาศเกียรติคุณโครงการ LESS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เดินหน้าผลักดันแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
—
บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ห...
ก.เกษตรฯ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมกับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ลงนาม MOU
—
ก.เกษตรฯ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมกับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาต...
"ETC" โชว์แกร่ง! ชำระคืนหุ้นกู้-ดอกเบี้ยตามนัด 508 ลบ.ส่งสัญญาณบวกพร้อมลุยแผนปี 68 อย่างมั่นใจ
—
บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "ETC"...
"พาวเวอร์ เอซ วัน" ลงนามสัญญาโครงการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน 9.9 เมกะวัตต์ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ หนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย
—
บริษัท พาวเวอร์ เอซ วัน จำก...
กทม. เข้มเฝ้าระวังป้องกันยา/สารเสพติดรอบสถานศึกษาในสังกัด หนุนความรู้เรื่องโทษ-ภัยให้นักเรียน ครู ผู้ปกครอง
—
นางภาวิณี รุ่งทนต์กิจ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย...
"เบสท์ ประเทศไทย" รับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ตอกย้ำคุณภาพบริการขนส่งโลจิสติกส์ระดับสากล
—
เบสท์ ประเทศไทย ผู้นำการให้บริการธุรกิจขนส...