รศ.ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักบรรพชีวินวิทยาผู้บุกเบิกการศึกษาซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ในถ้ำทางภาคใต้ เปิดเผยว่า จากการสำรวจร่วมกับชมรมคนรักถ้ำกระบี่ พบหลักฐานใหม่ในถ้ำจังหวัดกระบี่ซึ่งชี้ชัดถึงการกระจายตัวของไฮยีนาลายจุดมายังภาคใต้ของประเทศไทยในช่วงยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณ 200,000-80,000 ปีก่อน นับเป็นหลักฐานใหม่ต่อจากที่เคยมีการบันทึกว่าพบซากดึกดำบรรพ์ของไฮยีนาที่จังหวัดชัยภูมิ
จุดเริ่มต้นของการสำรวจเริ่มขึ้นในปี 2560 จากการแจ้งของชาวบ้านว่าพบกระดูกแรดฝังอยู่ในผนังถ้ำยายรวก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยได้รับการประสานงานจากกรมทรัพยากรธรณีให้ลงพื้นที่สำรวจร่วมกับชาวบ้าน นอกจากกระดูกแรด ยังมีการค้นพบซากของไฮยีนาลายจุด กวางป่า และเม่นใหญ่แผงคอยาว โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน ววน. (Fundamental Fund) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุนพัฒนาอัจฉริยภาพนักวิจัยรุ่นใหม่จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์จากกรมทรัพยากรธรณี พร้อมทั้งความร่วมมือจากชมรมคนรักถ้ำกระบี่ และการอนุญาตจากกรมป่าไม้ในการสำรวจถ้ำ
ผลการตรวจวิเคราะห์ผงเคลือบฟันของไฮยีนาและสัตว์อื่น ๆ โดยส่งไปตรวจหาสัดส่วนคาร์บอนไอโซโทปในประเทศเยอรมนี พบว่าไฮยีนาน่าจะกินกวางเป็นอาหาร และอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า จากการหาอายุของฟันสัตว์ในถ้ำยายรวกโดยตรงด้วยวิธีการสั่นพ้องของสปินอิเล็กตรอน (ESR) ควบคู่กับวิธีอนุกรมยูเรเนียม (U-series) ในประเทศสเปน พบว่าไฮยีนาที่พบมีอายุประมาณ 200,000 ปี
นอกจากนี้ รศ.ดร.กันตภณ ยังกล่าวถึงหลักฐานการค้นพบไฮยีนาในถ้ำกระดูก อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพบโดยชาวบ้านและมีการสำรวจเบื้องต้นโดยทีมนักธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณีเมื่อปี 2545 และล่าสุดจากการแจ้งของชมรมคนรักถ้ำกระบี่ในพื้นที่ถ้ำเขาโต๊ะหลวง อ.เมือง จ.กระบี่ ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นพบซากฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์จำนวนมาก ได้แก่ ไฮยีนาลายจุด อุรังอุตัง แรดชวา กวางป่า เม่น หมูป่า และวัว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าในอดีตพื้นที่จังหวัดกระบี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของไฮยีนาและสัตว์โบราณอื่น ๆ ที่บางชนิดได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว
จากการศึกษาสภาพแวดล้อมในยุคน้ำแข็ง พบว่าระดับน้ำทะเลในเวลานั้นต่ำกว่าปัจจุบัน พื้นที่อ่าวไทยจึงกลายเป็นพื้นดิน และบริเวณจังหวัดกระบี่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนา เมื่อทุ่งหญ้าหายไป สัตว์บางชนิดปรับตัวได้และเข้าไปอาศัยในป่า เช่น กวางป่า กระทิง วัวแดง ต่อมาเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน อากาศร้อนขึ้นและป่าฝนเข้ามาแทนที่ อีกทั้งมนุษย์ได้เข้ามาอยู่อาศัยและรุกรานพื้นที่เดิม ทำให้สัตว์ป่าต้องถอยร่นไปอยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เช่น เขตอุทยานแห่งชาติ
รศ.ดร.กันตภณ ร่วมกับนักวิจัยจากเยอรมนี ได้ทำการวิเคราะห์สัดส่วนคาร์บอนไอโซโทปในเคลือบฟันของสัตว์ป่าปัจจุบันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปรียบเทียบกับฟอสซิลในยุคน้ำแข็ง เช่น กวางป่า ละองละมั่ง เก้ง เนื้อทราย กระทิง วัวแดง และควายป่า เพื่อศึกษาการปรับตัวของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและการรุกรานของมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรสัตว์ลดลง และนำไปสู่แนวทางการฟื้นฟูถิ่นอาศัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน
"การค้นพบสัตว์ดึกดำบรรพ์ในถ้ำทางภาคใต้จนนำไปสู่การหาหลักฐานใหม่ ๆ เกี่ยวกับฟอสซิล เป็นความท้าทายของนักบรรพชีวินวิทยาซึ่งเกิดจากการออกเดินทางไปสำรวจในพื้นที่ ทำให้รู้ว่าหน้าที่ของนักบรรพชีวินวิทยาคืออะไร และการค้นพบนี้มีประโยชน์กับโลกอย่างไร การศึกษาสภาพแวดล้อมในอดีตผ่านซากดึกดำบรรพ์ ช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว และสามารถเรียนรู้ข้อจำกัดของธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างเข้าใจ" รศ.ดร.กันตภณ กล่าวสรุป
อักษรฯ จุฬาฯ เปิดสอนรายวิชา "Dracula and Modern Culture" จากวรรณกรรมสยองขวัญสู่กระจกสะท้อนวัฒนธรรมร่วมใหม่
จุฬาฯ จับมือ NIA ปั้น "ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย" สร้างเวทีบ่มเพาะนวัตกรรมและธุรกิจ Startup จากงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัว "Green Social Enterprise Catalog"
ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ชวนเปิดโลกเทรนด์และเทคโนโลยีสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จัดเปิดตัวหนังสือ "กูละเบื่อ" เขียนโดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา
คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ร่วมกับ TIMS รับสมัครองค์กรร่วมคัดเลือก สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต "Thai Mind Awards" รุ่นที่ 2
ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จัดเสวนา "รัฐศาสตร์ ในโลกแห่งอำนาจและการเมือง"
จุฬาฯ หนึ่งเดียวของไทย ASEAN Top 10 การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย THE World University Rankings 2026